Categories
บทความ

ฝนตกเปิดแอร์โหมดไหน อากาศเย็นสบาย ลดความชื้นในห้อง

ฝนตกเปิดแอร์โหมดไหน อากาศเย็นสบาย ลดความชื้นในห้อง

เปิดแอร์โหมดไหนดี เย็นฉ่ำในหน้าฝน

 
 

เครื่องปรับอากาศนับเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขาดไม่ได้เลยภายในบ้าน เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดอบอ้าวแทบตลอดทั้งปี โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้มักจะเลือกเปิดแอร์แบบไม่ได้สนใจเรื่องโหมดที่ปรากฎบนรีโมทแอร์ แต่ทราบหรือไม่ว่านอกเหนือจากการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่เต็มไปด้วยคุณภาพ การปรับโหมดแอร์ยังมีความสำคัญต่อการทำความเย็นอย่างมาก ช่วยเปิดแอร์ให้เย็นเร็วขึ้น ทั้งยังอาจช่วยให้คุณประหยัดไฟ จัดการฝุ่น PM2.5 หรือลดความชื้นภายในห้องจากช่วงหน้าฝนได้

เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟ เหมาะสำหรับหน้าฝน

 
 

โดยปกติแล้วเครื่องปรับอากาศจะมีโหมดการทำงานหลัก ๆ ที่น่าสนใจอยู่ 4 โหมด แต่ละโหมดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

• Auto Mode

 
 

เปิดแอร์โหมด Auto เป็นการเปิดโหมดที่ได้รับความนิยมกันมาก เนื่องจากสามารถทำความเย็นได้อย่างอัตโนมัติ ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก โดยเครื่องปรับอากาศจะควบคุมอุณหภูมิเป็นไปตามที่ตัวเครื่องได้กำหนดไว้ ซึ่งจะควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ ขณะที่บางครั้งยังตัดพัดลมในตัวเครื่องด้วยเมื่อถึงอุณหภูมิที่ต้องการ ส่งผลให้เป็นโหมดเปิดแอร์ประหยัดไฟรูปแบบหนึ่ง

• Cool Mode

 
 

ด้วยรูปลักษณ์เกร็ดหิมะของโหมด Cool จึงไม่น่าแปลกใจที่กลายเป็นอีกโหมดยอดนิยม โดยโหมดนี้จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานเพื่อนำความเย็นเข้ามาสู่ห้อง เมื่อเครื่องปรับอากาศสัมผัสได้ว่า อุณหภูมิถึงระดับที่ต้องการ ตัวคอมเพรสเซอร์จะหยุดทำงาน ขณะที่ส่วนของพัดลมจะทำงานต่อไป ซึ่งนับเป็นโหมดที่ใช้พลังงานค่อนข้างสูง เนื่องจากยิ่งเซตอุณหภูมิต่ำ ระยะเวลาการทำงานของคอมเพรสเซอร์ก็ยิ่งนานขึ้น

• Fan Mode

 
 

สำหรับโหมด Fan หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า โหมดพัดลม จะเป็นการตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะใช้งานเพียงส่วนของพัดลมเพื่อหมุนเวียนอากาศภายในห้องเท่านั้น สามารถช่วยลดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ออกไปได้ แต่จะไม่ทำความเย็นให้กับภายในห้อง

• Dry Mode

 
 

แอร์โหมด Dry สัญลักษณ์เป็นรูปหยดน้ำ นับเป็นโหมดที่ออกแบบมาสำหรับหน้าฝน เนื่องจากสามารถดูดความชื้นภายในอากาศได้ ช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัดกับอากาศภายในห้อง แต่จะไม่ทำความเย็นได้ดีเหมือนกับโหมด Cool ซึ่งนับว่าเป็นโหมดที่ดีต่อการใช้งานช่วงฝนตกและอากาศไม่ได้ร้อนจัดมากนัก สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าหน้าฝนควรเปิดแอร์โหมดไหนดี แอร์โหมด Dry ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานหน้าฝน โดยมีส่วนช่วยควบคุมความชื้นภายในห้อง มอบความเย็นสบายได้อย่างตรงใจ

เทคนิคการเลือกซื้อแอร์ยุคใหม่

 
 

การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ นอกจากเป็นการได้แอร์ที่ช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิให้เย็นฉ่ำแล้ว ยังสามารถช่วยคุณให้ประหยัดเม็ดเงินได้มากขึ้น สามารถสูดอากาศได้อย่างชุ่มปอดไร้ฝุ่น โดยมีแนวทางน่าสนใจ ดังนี้

 
 
 
 
 

เปิดรีโมทแอร์

เลือกแอร์ที่เหมาะสมช่วยให้เย็นได้ยาวนาน

• เลือก BTU ให้เหมาะสมกับห้อง

 
 

การเลือก BTU ให้เหมาะสมกับห้องนับเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากส่งผลต่อความเย็นโดยตรง ซึ่งหากห้องใหญ่เกินไป อาจส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและทำความเย็นได้ไม่เหมาะสมกับขนาดห้อง จนเกิดปัญหาแอร์ไม่เย็นมีแต่ลม คำนวนตามสูตรได้ ดังนี้

(กว้าง x ยาว) xตัวแปร = BTU

 
 

 

*โดยตัวแปรดู คือ ห้องปกติไม่โดนแดด ห้องนอน = 750 ห้องทำงาน = 850 ส่วนห้องที่รับแดดเปลี่ยนค่าเป็น ห้องนอน = 800 ห้องทำงาน = 900

 

 

ตัวอย่าง ความกว้าง = 5 ความยาว = 6 ตัวแปรเป็นห้องนอนที่โดนแสงแดด = 800

(5 x 6) x800 = 24,000 BTU

 
 
 

• เครื่องปรับอากาศที่มีเทคโนโลยีพิเศษ

 
 

เครื่องปรับอากาศในยุคปัจจุบันค่อนข้างมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเสริมฟังก์ชั่นกันจำนวนมาก ซึ่งการเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อการใช้งานคือสิ่งที่สมควรทำ ตัวอย่างเช่น ระบบ Dual Inverter ที่ช่วยให้แอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึง 40% และประหยัดพลังงานได้มากถึง 70% นับเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่เจอปัญหาค่าไฟที่แพงขึ้นช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

• ไม่สะสมเชื้อโรคและช่วยลดฝุ่นละออง

 
 

การเลือกเครื่องปรับอากาศ นอกจากช่วยเรื่องแอร์ที่เย็นฉ่ำแล้ว ควรเลือกแอร์ประเภทที่ช่วยดักจับฝุ่น PM2.5 ไม่เป็นจุดสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่เจอปัญหาจากฝุ่นภายนอกห้อง สูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มที่

Cr. https://www.lg.com/th/blog-list/air-conditioner-mode-rainy-season/

Categories
บทความ

7 วิธีใช้แอร์ที่มักถูกเข้าใจผิด

7 วิธีใช้แอร์ที่มักถูกเข้าใจผิด เพราะแบบนี้ไงเลยจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม

การใช้แอร์แบบผิด ๆ ว่าทำแบบนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและจ่ายค่าไฟมากกว่าเดิม มาดูกันว่าเผลอทำไปบ้างหรือเปล่า แล้วจะแก้ไขยังไงดี

          เข้าหน้าร้อนทีไรค่าไฟพุ่งกระฉูดทุกที แต่อากาศร้อนซะขนาดนี้ไม่ให้เปิดเครื่องปรับอากาศเลยก็ไม่ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วที่ค่าไฟแพงหูฉี่อาจไม่ได้เป็นเพราะเปิดแอร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการใช้แอร์แบบผิด ๆ ที่เผลอไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมมาฝากให้หายคาใจว่าการใช้แอร์แบบไหนที่ทำให้เปลืองพลังงานและต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม แล้วจะประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อนได้อย่างไรบ้าง ถ้าจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศทุกวันแบบนี้

วิธีใช้แอร์

1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน

          หลาย ๆ คนยังใช้แอร์เก่า ๆ ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะเห็นว่ายังใช้ได้อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วแม้ตัวเครื่องภายนอกจะยังดูดี แต่ระบบภายในก็เสื่อมไปตามระยะเวลาในการใช้งาน โดยเฉพาะแอร์เก่า ๆ ที่ใช้งานมานานเกิน 15 ปี ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงแพงแล้ว ยิ่งใช้ยิ่งกินไฟอีกต่างหาก ดังนั้นแทนที่จะช่วยประหยัดอาจต้องจ่ายมากกว่าการซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศในตอนนี้ก็มีทั้งการพัฒนาระบบที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าแถมยังมีฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากขึ้นด้วย

2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี

          นอกจากนี้บางคนอาจจะยังเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งค่า BTU เยอะยิ่งทำให้บ้านเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินความจำเป็นก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย แต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่า BTU ต่ำเกินไปก็จะทำเครื่องทำงานหนักและกินไฟ เพราะฉะนั้นควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดของห้อง โดยคำนวนจากสูตร
   
          พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม

          การประเมินค่า Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง มีดังต่อไปนี้ ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร, ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร, ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร, ห้องครัว 900-1000 BTU/ตารางเมตร, ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร และห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร

          ทั้งนี้สูตรคำนวณค่า BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานไม่เกิน 3 เมตร หากเป็นห้องที่มีความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของห้อง ทิศทางของแดด เครื่องใช้ไฟฟ้า และจำนวนผู้อาศัย จะต้องบวกค่า BTU เพิ่มขึ้นด้วย
3. ไม่เช็กตำแหน่งก่อนติดตั้ง

          ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ก็สำคัญ เพราะหากติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักและประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง โดยพื้นที่ที่ติดตั้งแอร์ควรเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีสิ่งของบังทางลม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมุมอับ การติดตั้งแอร์บนผนังบ้านที่รับแสงแดดจัดหรือทิศตะวันตกเพราะจะทำให้เครื่องทำงานหนัก รวมถึงไม่ติดตั้งแอร์บริเวณใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง เนื่องจากจะทำให้ความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่อากาศภายในได้ง่าย

4. เปิดแอร์พร้อมพัดลมทำให้เปลืองไฟ

          บางคนอาจจะคิดว่าการเปิดพัดลมพร้อมกับแอร์ทำให้เปลืองไฟ ซึ่งจริง ๆ แล้วเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟควรเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ไปด้วย จะทำให้ห้องเย็นขึ้นและช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งมีทริกง่าย ๆ เริ่มจากปรับแอร์ไปที่ 25-27 องศาเซลเซียส แล้วเปิดพัดลมไปพร้อม ๆ กัน พัดลมก็จะช่วยกระจายลมเย็นให้ทั่วห้อง และช่วยลดอุณหภูมิในห้องได้อีก 1-2 องศาเลยทีเดียว

5. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น

          หลายคนคงเคยปรับแอร์ให้มีอุณหภูมิต่ำเพราะอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เพราะไม่ว่าตั้งให้อุณหภูมิต่ำสักแค่ไหน ก็ใช้เวลาในการทำความเย็นพอ ๆ กันกับการตั้งอุณหภูมิปกติอยู่ดี ทางที่ดีถ้าหากอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ให้เร่งความเร็วพัดลมแอร์จะช่วยได้ดีกว่า
6. อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด

          แม้ว่าการตั้งอุณหภูมิ 25 องศา จะช่วยประหยัดไฟ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วควรใส่ใจดูแลรักษาตัวเครื่องไปพร้อมกัน โดยหมั่นตรวจเช็กระบบและทำความสะอาดเแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

7. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า

          แม้จริง ๆ แล้วการเปิดแอร์ค้างไว้หลายชั่วโมงติดต่อกันจะเปลืองไฟมากกว่า แต่การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ก็ส่งผลเสียกับตัวเครื่องไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เครื่องทำงานหนักและอายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

          แม้ว่าบ้านของคนไทยจะมีแอร์กันแทบทุกหลัง แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเข้าใจผิดอยู่ดี ฉะนั้นถ้าหากไม่อยากพลาดใช้แอร์ไม่ถูกวิธี จนเป็นเหตุทำให้เปลืองไฟและเปลืองพลังงานละก็ รีบแก้ไขด่วน ๆ เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก gharpediaeffic, ientsystems, homequicks, สถาบันพลังงาน มช., powerbuy, รวมพลังหาร 2
Categories
บทความ

เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม

เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม

ค่าไฟกำลังจะปรับเพิ่มขึ้นอีกแล้วในเดือนพฤษภาคมนี้ ประกอบกับอากาศอุณหภูมิสูงขึ้น แอร์ทำงานหนักขึ้น ค่าไฟย่อมสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากเป็นไปได้ ทีมงานบ้านไอเดียขอเสนอให้หันมาปลูกต้นไม้บังแสงแดด ออกแบบบ้านคำนึงถึงกฏเกณฑ์ธรรมชาติ ใช้วัสดุกันความร้อน หลักการเหล่านี้สามารถลดค่าไฟได้จริงอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังทำให้บ้านเย็นสบายอีกด้วย แต่อาจไม่ทันใจหลายท่านเท่าไหร่นัก เพราะเครื่องปรับอากาศสมัยใหม่ เพียงแค่กดปุ่มไม่กี่นาที ก็เย็นชื่นใจกันแล้ว เป็นธรรมดาของมนุษย์เรา ที่มักหันมาพึ่งพาสิ่งที่แก้ปัญหาได้โดยทันที มากกว่าวิธีที่ยั่งยืนได้ผลช้า แถมยังยุ่งยากเหนื่อยแรงอีกด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆ ปรับแก้กันไป ค่อยๆ ทำความเข้าใจและปรับใช้กันให้มากขึ้น สักวันหนึ่ง เชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ย่อมต้องหันมาใช้วิธียั่งยืนอย่างแน่นอน

      ทั้งหมดที่เกริ่นมานี้ ไม่ได้ต้องการบอกว่า ให้เลิกใช้แอร์ แต่ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า ยังมีอีกหลายวิธี ที่จะช่วยเสริมให้บ้านเย็นและเราสามารถใช้ควบคู่กับแอร์ได้ ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายภายในบ้านได้อีกด้วย สำหรับวันนี้ “บ้านไอเดีย”​นำวิธีลดค่าไฟแอร์มาฝาก เพื่อให้ได้ใช้พลังงานทุกหน่วยอย่างคุ้มค่าให้ถึงที่สุดกันครับ โดยจะแบ่งไว้สองส่วนหลัก และ 10 ข้อย่อย ดังนี้

การเลือกซื้อและติดตั้ง

  • ติดตั้งแอร์ให้ถูกตำแหน่ง ตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งนั้น ควรเป็นตำแหน่งที่สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึงโดยไม่มีอะไรมาบดบังทิศทางลม กรณีเป็นห้องนอน อาจให้อยู่ปลายเตียง ข้างเตียง แต่ไม่ควรใกล้หรือสูงจนเกินไป เพราะจะกลายเป็นนอนใต้แอร์​ ซึ่งทำให้ลมเย็นพัดข้ามผ่าน และไม่ไกลจนเกินไป เพราะระยะทางทำให้ความเย็นลดลง ผู้ใช้จำเป็นต้องปรับอุณหภูมิแอร์ที่ตำกว่าปกติ ส่งผลให้เปลืองค่าไฟได้ ทิศทางของผนังก็มีผลต่อการทำความเย็น หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงติดตั้งแอร์ในทิศทางที่โดนแสงแดดโดยตรงเพราะจะส่งผลให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติในช่วงกลางวัน
  • เลือก BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง ขนาด BTU ที่ต่ำ ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่า จะทำให้ประหยัดค่าไฟ ความเหมาะสมเท่านั้น ที่จะสามารถประหยัดได้ดีที่สุด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : การคำนวณ BTU กับขนาดของห้อง
  • ปกปิดอย่างมิดชิด หลักการทำความเย็นของแอร์ จะคอยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ ตามที่ผู้ใช้ได้กำหนดค่าอุณหภูมิไว้ หากห้องดังกล่าวอยู่ในลักษณะเปิด ความเย็นภายในจะออกสู่ภายนอก ทำให้แอร์ทำงานหนักตลอดเวลา ควรปิดประตู หน้าต่าง ให้มิดชิด ติดผ้าม่านหนาๆ หากชอบหน้าต่างกระจก แนะนำให้ใช้กระจกฟิล์มดำ กระจกป้องกันความร้อน หากห้องมีขนาดกว้างมาก อาจใช้ผ้าม่านกั้นแอร์ มาเป็นฉากกั้นห้อง ก็สามารถช่วยควบคุมได้ระดับหนึ่ง
  • ติดตั้งคัทเอาท์แยกสำหรับแอร์ : โดยส่วนใหญ่แล้ว เรามักนิยมปิดแอร์ด้วยรีโมทเพียงอย่างเดียว หลายท่านอาจไม่ทราบว่า แม้จะปิดแอร์แล้ว แต่ระบบไฟฟ้ายังคงทำงานอยู่ แม้จะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ไม่มากก็ตาม การปิดคัทเอาท์ จะเป็นการปิดการทำงานแอร์อย่างสมบูรณ์ แม้จะลดพลังงานไปเพียงนิด แต่ก็ทำให้ลดลงได้ครับ อีกทั้งยังมีกรณีศึกษา แอร์บางรุ่น จะมีระบบรีเซ็ทอัตโนมัติ เช่น กรณีไฟฟ้าดับ หลังจากไฟฟ้าติดปกติ แอร์จะเปิดการทำงานขึ้นเองอัตโนมัติ หากผู้ใช้ไม่อยู่บ้าน กรณีไม่ปิดคัทเอาท์ แอร์อาจทำงานอัตโนมัติได้ครับ ทั้งนี้การฝึกปิดคัทเอาท์ให้ติดเป็นนิสัย ยังช่วยส่งผลให้ผู้ใช้ รู้จักปิดและถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เป็นพฤติกรรมติดตัวไปอีกด้วย

การใช้งานอย่างถูกวิธี

  • ถ่ายเทอากาศ : ก่อนเข้าห้อง หากเป็นช่วงยามเย็น แนะนำให้เปิดประตู เปิดหน้าต่าง ทิ้งไว้ เพื่อให้อากาศหมุนเวียน ไล่ลมร้อนภายในห้องออก รับลมใหม่จากภายนอกเข้า
  • เปิดแอร์ในอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศา ประมาณ 26-28 องศาได้ยิ่งดี เพราะโดยปกติแล้ว ร่างกายของมนุษย์ จะสามารถรับความเย็นระดับ 27 องศาได้อย่างสบายตัว ไม่หนาว ไม่ร้อนจนเกินไป แต่หากรู้สึกร้อน อาจปรับมาสัก 26 องศา และหากรู้สึกเย็น สามารถปรับขึ้นได้ ยิ่งปรับขึ้นยิ่งประหยัด แต่ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นจนรู้สึกร้อน เพราะจะเป็นการใช้แอร์ผิดวัตถุประสงค์
  • หากต้องการประหยัดมากกว่าเดิม อาจปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้วใช้เทคนิคพัดลมช่วย พัดลมจะสามารถช่วยพัดความเย็นได้อย่างดีขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องปรับอุณหภูมิให้ต่ำมากนัก โดยปกติแล้วพัดลมจะใช้พลังงานน้อยกว่าแอร์หลายเท่า แม้จะเปิดพัดลม 10 ตัว ก็ยังใช้พลังงานน้อยกว่าแอร์เพียง 1 ตัว
  • ใส่เสื้อผ้าบาง ในช่วงหน้าร้อน การใส่เสื้อผ้าบางๆ ช่วยคลายความร้อนได้ดี ทั้งในช่วงเวลาปกติ และในช่วงของการนอน เสื้อผ้าบางๆ ช่วยให้สัมผัสความเย็นของแอร์ได้รวดเร็ว รวมถึงผ้าห่ม ไม่ควรห่มผ้าหนา ควรเลือกผ้าบางและเย็น เช่น ผ้าแพร เป็นต้น
  • ลดการใช้งาน ปัจจุบันแอร์ทุกรุ่น สามารถตั้งเวลาปิดได้ ผู้ใช้อาจคำนวณจากเวลาตื่น เช่น ตื่นประมาณ 6 โมงเช้า ให้แอร์ทำงานถึง 5 โมงเช้าก็เพียงพอแล้ว เพราะตอนรุ่งเช้า อากาศภายนอกไม่ร้อนมากนัก เมื่อรวมกับอุณหภูมิภายในห้องที่สะสมความเย็นมาทั้งคืน ความเย็นภายในห้อง ยังเป็นระดับที่กำลังสบายครับ
  • ปิดการใช้งาน อย่างไรก็ตาม วิธีที่จะประหยัดได้ดีที่สุดนั้นคือ ปิดการใช้งาน ข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงห้ามใช้ แต่ให้รู้จักใช้อย่างรอบคอบ คุณผู้อ่านอาจหาพื้นที่พักผ่อนในสวนข้างบ้าน ทดแทนการอยู่ภายในบ้าน หรือหาทำกิจกรรมอื่นๆ มาทำ เช่น ออกกำลังกายนอกบ้านยามเย็น สิ่งเหล่านี้ เป็นการแทรกกิจกรรมมาทดแทน ได้ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้อย่างดีเลยครับ

ข้อมูลจาก : banidea.com

Cr. https://energy.mfu.ac.th/slide-energy-pic5.php

Categories
บทความ

เปิดแอร์แล้วลมไม่ค่อยเย็น

เปิดแอร์แล้วลมไม่ค่อยเย็น

ถ้าเปิดแอร์ไปเป็นสิบนาทีแล้วลมไม่เย็นล่ะ หรือลมที่แอร์เป่าออกมามันไม่ค่อยแรงล่ะ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง วันนี้เราไปดูวิธีแก้ง่ายๆกันเองได้เลยครับ

วิธีแก้ง่ายๆ เปิดแอร์แล้วไม่ค่อยมีลม และลมไม่ค่อยเย็น
ตามปกติแล้วถ้าแอร์ไม่เย็นเราก็มักจะเรียกช่างแอร์ให้มาดู หรือมาล้างแอร์กันก่อน แต่ในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ช่างแอร์คิวยาวมาก แถมยังคนยังเล่นตัวราวกับเป็นดาราดังอีกด้วย ฉะนั้นเราก็ลองมาแก้ปัญหาแอร์ไม่เย็นกันเองก่อนเลยครับ

1. ล้างแผ่นกรอง – ขั้นแรกเลย เราก็ไปล้างทางเข้าของลมกันก่อนเลยครับ ซึ่งเวลาที่ลมพัดเข้ามาในแอร์นั้นก็จะไปเจอกับแผ่นกรองกันก่อน แล้วเราใช้งานไปสักพักแผ่นกรองแอร์เหล่านี้ก็จะสกปรกมีฝุุ่นอยู่เต็มไปหมดครับ ดังนั้นเราก็ต้องถอดมาล้าง ทำความสะอาดกันก่อนเลยครับ

วิธีล้างก็ง่ายๆ ฉีดๆน้ำให้ฝุ่นที่ติดอยู่ออกไปให้หมดก็ได้แล้วครับ หรือจะออกแรงแปรงเบาๆก็เพียงพอแล้วครับผม นอกจากนั้นก็ไปฉีดน้ำที่แผ่นทำความเย็นกันด้วยนะครับ ใช้ฟ็อกกี้ฉีดๆเข้าไปครับ เดี๋ยวก็สะอาดขึ้นมาเอง

2. ล้างกรงกระรอกเป่าลม – จากนั้นเราก็ดูที่ทางออกของแอร์กันต่อ โดยปกติแอร์ส่วนมากก็จะใช้กรงกระรอกในการเป่าให้ลมพัดออกมา แต่ทีนี้ที่กรงกระรอกนั้นเป็นตัวเก็บฝุ่นที่ดีมากๆและเมื่อมีฝุ่นอยู่มากๆ เวลาที่กรงกระรอกแอร์หมุนไป ลมก็ไม่ค่อยออกครับ

วิธีล้างก็หาแปรงมาปัดๆ แต่ทีนี้ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะฝุ่นเล็กๆจะตกลงมาเยอะมากๆ เพื่อนๆก็ควรหาผ้าหรือหาอะไรมารองรับฝุ่นต่างๆเอาไว้ด้วยครับ มิเช่นนั้นเราต้องไปกวาดห้องกันยกใหญ่แน่นอน

แล้วอยากให้แอร์เป่าลมออกมาแรงๆ เราก็ต้องแปรงให้ลมออกมามากที่สุด ใช้เวลากับกรงกระรอกนานหน่อยครับ รับรองว่าแอร์จะเป่าลมออกมาแอร์ขึ้นแน่นอน

3. ล้างคอยล์ร้อน – สำหรับคอยล์ร้อนนั้น ถ้าเพื่อนๆสะดวกในการทำความสะอาดก็ออกไปฉีดๆน้ำสักนิดนึงครับ เพราะแอร์จะได้ระบายความร้อนได้ดีมากขึ้น ทำให้อากาศเย็นได้เร็วขึ้นและประหยัดไฟเพิ่มขึ้นด้วยครับ

สุดท้ายแล้วถ้าทำทั้ง 3 ขั้นตอนแล้วแอร์ที่บ้านก็ยังไม่เย็น แบบนี้ลองตามช่างให้มาดูกันก่อนนะครับ

Cr. https://buildsweethome.blogspot.com/2018/03/air-conditioner-is-not-cool.html

Categories
บทความ

แอร์เป็นน้ำแข็ง แก้ด้วยตัวเองอย่างไร

แอร์เป็นน้ำแข็ง แก้ด้วยตัวเองอย่างไร

แอร์เป็นน้ำแข็ง ปัญหาใหญ่และสำคัญของหลายบ้าน ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวในแต่ละวัน แอร์จึงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการช่วยเพิ่มความเย็น และคลายความร้อน ปัญหาแอร์เป็นน้ำแข็ง เป็นสิ่งที่หนักอกหนักใจอย่างมาก เพราะถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที จะเกิดปัญหาหลายอย่างตามมาได้ วันนี้ Baania จึงขอนำเสนอสาเหตุและวิธีการแก้ไขง่ายๆ ด้วยตนเองมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านสามารถนำไปตรวจเช็คแอร์ที่บ้านว่ามีปัญหาเหล่านี้หรือไม่

สาเหตุที่แอร์เป็นน้ำแข็ง

แอร์เป็นน้ำแข็ง สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่แอร์เป็นน้ำแข็ง ไม่ได้แปลว่ายิ่งให้ความเย็นได้ดี แต่ในทางตรงกันข้าม แอร์เป็นน้ำแข็ง จะทำให้แอร์เกิดปัญหาขัดข้อง ไม่สามารถระบายความเย็นออกมาได้ จนเกิดความเสียหาย หรือชำรุด สาเหตุต่างๆ ที่ทำให้แอร์เป็นน้ำแข็ง ดังนี้

1. ใช้งานหนัก

หากมีการใช้งานแอร์หนัก หรือมากเกินไป ขาดการดูแล เช่น ไม่ได้รับการล้างแอร์ ทำความสะอาด หรือการตรวจเช็คในส่วนต่างๆ ก็จะทำให้แอร์เป็นน้ำแข็งได้

2. เกิดความขัดข้อง

หากชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ส่วนใดของแอร์เกิดความขัดข้อง จะทำให้แอร์เป็นน้ำแข็งได้ เช่น แผงกรองอากาศเกิดการอุดตัน หรือแผงคอยล์สกปรก จึงไม่สามารถสร้างความเย็น จนแอร์เป็นน้ำแข็ง หรือเทอร์โมนิเตอร์ไม่ยอมตัด ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานตลอดเวลา

3. แผงคอยล์เย็นและตัน

เมื่อไม่ได้มีการล้างแอร์ ทำให้แผงคอยล์มีคราบสกปรก ในขณะที่แผงคอยล์เย็นมากๆ จนไม่สามารถระบายลมออกมาได้สะดวก เพราะช่องแผงอุดตัน จึงทำให้แผงคอยล์เป็นน้ำแข็ง

4.  น้ำยาแอร์รั่ว

หากแอร์ของท่านมีน้ำยาแอร์รั่วซึมออกมา จะทำให้น้ำยาในระบบเหลือในปริมาณที่น้อยลง จนเกิดน้ำแข็งเกาะ

5. มอเตอร์พัดลมคอยล์เย็นหมุนช้า

เมื่อมอเตอร์พัดลมคอยล์เย็นหมุนช้าลง หรือไม่ยอมหมุนจะทำให้แอร์มีน้ำแข็งเกาะอยู่ เพราะระบบไม่ยอมระบายอากาศเย็นออกไป

สาเหตุที่แอร์เป็นน้ำแข็ง

การแก้ปัญหาแอร์เป็นน้ำแข็งด้วยตัวเอง

หากท่านกำลังพบกับปัญหาดังกล่าว สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง คือการล้างแอร์ ทำความสะอาดส่วนต่างๆ และการตรวจเช็คจุดรั่วซึม ดังนี้

1. ล้างแอร์

ทำการล้างแอร์ได้ง่าย ๆ สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยการนำแผงคอยล์ และถอดแผ่นกรองอากาศออกมาล้างทำความสะอาด วิธีการล้างง่าย ๆ ด้วยตนเองมีดังนี้

  • เตรียมอุปกรณ์สำหรับล้างแอร์ให้ครบ ได้แก่ สายยางหัวฉีด ผ้ายางขนาดยาว ถังน้ำสำหรับรองน้ำ เทปกาวเอาไว้สำหรับติดผ้ายางและตัวแอร์ บันได้หรือเก้าอี้สูงที่สามารถปีนล้างแอร์ได้ น้ำยางล้างจาน ฟองน้ำ ผ้าขนหนู และไขควง
  • เปิดฝาหน้าเพื่อถอดฟิลเตอร์ออก อย่าลืมปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย ทำการไขน็อตบริเวณด้านล่างใกล้บานสวิง และตามจุดต่างๆ  แล้วทำการถอดฝาครอบแอร์ออกอย่างระมัดรังวัง
  • ต่อมาให้ถอดบานสวิงออก เริ่มถอดจากตรงกลาง เมื่อถอดเสร็จ หาถุงใหญ่ๆ มาคลุมชุดแผงวงจรไว้ไม่ให้โดนน้ำ 
  • เตรียมเทปกาว ผ้ายางติดด้านข้างของแอร์ทั้งด้านซ้ายและขวา พยายามทำคล้ายรางน้ำ แล้ววางปลายผ้ายางไว้ที่ถังน้ำ เพื่อให้น้ำที่ล้างไหลลงในถัง
  • เริ่มขั้นตอนการล้าง โดยฉีดน้ำตามแนวท่อแอร์ ค่อยๆ ฉีดไล่น้ำ เพื่อไม่ให้น้ำกระเด็นไปโดยตัววงจรแอร์ เมื่อฉีดจนคราบสกปรกต่างๆ หลุดออกมา ก็ใช้น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาล้างแอร์ ล้างทำความสะอาดอีกรอบ โดยเช็ดออกด้วยฟองน้ำที่เตรียม
  • หลังจากนั้น ทำความสะอาดคอมเพรสเซอร์แอร์ด้านนอก หรือคอยล์ร้อน เริ่มไขน็อตตามจุดต่างๆ ทั้งบนฝาซ้าย-ขวา ยกฝาขึ้น แล้วฉีดน้ำเข้าไปทำความสะอาด ใช้ถุงยางหรือถุงดำมาคลุมตัวระบบเครื่องให้มิดชิด เมื่อฉีดเสร็จจนสะอาด ให้นำถุงดำออก
  • เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อย ใช้ผ้าแห้งเช็ด หรือใช้ที่เป่าลมเพื่อให้แห้งเร็ว หลังจากนั้นอาจจะทิ้งไว้สักครู่ แล้วประกอบแอร์กลับเข้าไปเหมือนเดิม แล้วรอเปิดแอร์ทิ้งไว้สักพัก 

        การล้างแอร์ด้วยตนเอง ท่านต้องรู้จักส่วนประกอบและโครงสร้างของแอร์ สามารถแกะและประกอบแอร์กับเข้าไปเหมือนเดิมได้ หากยังไม่เคยล้างควรมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

2. เช็คจุดรั่ว

       ท่านสามารถเช็คจุดรั่วของน้ำยาแอร์ ได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • เช็คด้วยการสังเกตว่ามีคราบน้ำมันหยดหรือไม่ เพราะหากน้ำยาแอร์รั่ว จะเกิดคราบตรงจุดรั่ว เช่น จุดเชื่อมท่อต่อ จุดช่วงท่อต่อเชื่อมกับตัวแอร์ หากพบจุดรั่ว ต้องรีบแก้ไขทันที
  • เช็คด้วยฟองสบู่ ใช้แปรงทาสีหรือแปรงฟันจุ่มฟองสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ทาลงบนท่อของน้ำยาแอร์ หากแอร์มีจุดรั่วจะมีฟองอากาศเกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแอร์มีจุดรั่ว ต้องรีบแก้ไขทันที
  • เช็คด้วยเสียง ฟังเสียงลมที่ท่อแอร์ หากมีจุดรั่วจะได้ยินเสียงลมในบริเวณนั้น

แก้ปัญหาแอร์เป็นน้ำแข็ง

ปัญหาที่เกิดจากแอร์เป็นน้ำแข็ง

1. แอร์เสีย

การแอร์เป็นน้ำแข็ง และไม่มีการแก้ไข จะทำให้แอร์เสีย หรือเกิดความเสียหายของระบบตามจุดต่างๆ เพราะการที่แอร์เป็นน้ำแข็ง จะทำให้แอร์เกิดปัญหาขัดข้อง ไม่สามารถระบายความเย็นออกมาได้ จนเกิดความเสียหาย หรือชำรุด

2. แอร์ไม่เย็น

แอร์ไม่เย็นเพราะแอร์มีการอุดตันอยู่ภายในจึงไม่มีการระบายอากาศ หรือความเย็นออกมา ทำให้เกิดปัญหาแอร์เย็นช้ากว่าปกติ หรือไม่เย็นเลย

3. ค่าไฟเพิ่มขึ้น

หากแอร์ของท่านมีการอุดตันจากคราบสกปรก จนทำให้แอร์เกิดน้ำแข็งเพราะไม่สามารถระบายอากาศออกมาได้ แต่ยังมีการทำงานของระบบ และหากไม่ได้มีการแก้ไขจะยิ่งทำให้ใช้ไฟมากขึ้นกว่าเดิม เกิดปัญหาค่าไฟที่เพิ่มขึ้นตามมา

4. เกิดไฟฟ้าลัดวงจร  

หากแอร์เป็นน้ำแข็ง จนเกิดการรั่วซึมของน้ำ อาจจะทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรได้ ถ้าน้ำที่ไหลออกมาไปโดนระบบวงจรไฟฟ้าอื่นๆ ภายในบ้าน จะทำให้บ้านเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือไฟไหม้บ้าน ปัญหาแอร์เป็นน้ำแข็งจึงไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ  ดังนั้นอย่างลืมเช็คแอร์ที่บ้านอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมา         

ปัญหาที่เกิดจากแอร์เป็นน้ำแข็ง

แอร์เป็นน้ำแข็ง สามารถแก้ได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ต้องมีการแก้ไขให้ถูกต้อง ต้องรู้สาเหตุที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้งานที่หนักเกินไป ระบบการทำงานของแอร์เกิดความขัดข้อง ถึงแม้ว่าแอร์จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มักจะมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ตามมาหลังการใช้งานเป็นเรื่องปกติ การหมั่นตรวจเช็คจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันก่อนเกิดปัญหา

Cr. https://www.baania.com/article/แอร์เป็นน้ำแข็ง-5f210a67159c3b8ee6ffde23

Categories
บทความ

5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการใช้แอร์

5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการใช้แอร์

จากสภาพอากาศ และสภาพฤดูกาลที่เป็นหน้าร้อนไปกว่าครึ่งทำให้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของคนไทยนั้นต้องเป็นแอร์ ทุกๆ บ้านใช้แอร์เป็นตัวช่วยเปลี่ยนความร้อนระอุภายในบ้านให้เป็นสวรรค์บนดินด้วยความเย็น แต่เมื่อถึงสิ้นเดือนบิลค่าไฟออกอาจทำให้คนกุมอำนาจการใช้จ่ายภายในบ้านถึงกับหงายตึง และเกิดข้อสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เมื่อคุณมาซื้อแอร์ที่เพาเวอร์บายแล้วนอกจากเราจะอยากให้คุณได้รู้วิธีการเลือกซื้อแอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว เรายังอยากแก้ไขความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการใช้แอร์ของคุณด้วย เพราะนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณใช้แอร์ที่บ้านได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมยังอาจเป็นการใช้ไฟมากจนเกินจำเป็น ไปดูกันซิว่า 5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการใช้แอร์นั้นมีอะไรบ้าง
 
ประหยัดเงินโดยการใช้แอร์เครื่องเก่า
 
ข้อนี้จัดเป็นความเชื่อผิดๆที่เป็นปัญหาเรื้อรังของหลายๆบ้าน เข้าตำราที่ว่า ‘เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย’ แค่เปรียบเปรยเป็นคำพังเพยหลายคนคงยังนึกภาพตามไม่ออก แต่ถ้าให้ลองนึกถึงว่าแอร์เครื่องเก่าที่บ้านของคุณเสียค่าซ่อมบ่อยแค่ไหนต่อปี ค่าไฟแต่ละเดือนนั้นสูงขนาดไหน เปิดใช้แอร์แต่ละครั้งนานแค่ไหนถึงจะเย็น ตอนกลางคืนเคยสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงมอเตอร์แอร์ทำงานบ้างหรือเปล่า และที่พูดมานี้เกิดจากการที่คุณใช้แอร์เก่าทั้งสิ้น เมื่อลองบวกลบคูณหาร คำนวณดูแล้วการใช้แอร์เก่านั้นส่งผลเสียมากเกินกว่าที่คุณคิด การประหยัดเงินในทางที่ผิดนั้นส่งผลให้เงินในกระเป๋าของคุณปลิวออกจากตัวมากกว่าซื้อแอร์เครื่องใหม่ดีๆ ซักเครื่องเสียอีก
 
 
เปิด – ปิดแอร์บ่อยๆเพื่อช่วยประหยัดไฟ
 
บางบ้านที่ไม่ต้องการอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ นานๆ แต่ชอบเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำช่วงหนึ่งแล้วค่อยปิดแอร์มาเปิดพัดลมแทน มักจะคิดว่าช่วยประหยัดไฟได้มาก เพราะตัดช่วงเวลาเปิดแอร์ไปเกินครึ่ง แต่ความเชื่อนี้ผิดมหันต์เพราะจริงๆแล้วช่วงการทำงานของแอร์ที่หนักที่สุดและกินไฟที่สุด นั้นคือช่วงที่เริ่มเปิดแอร์และสตาร์ทมอเตอร์ให้เร่งหมุนเพื่อสร้างความเย็น หลังจากที่ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นคงที่ได้แล้ว ถ้าอุณหภูมิไม่ได้สูงขึ้นจนผิดจากเดิมไปมากก็ไม่ได้ทำให้กินไฟเท่าไรนัก ดังนั้นการเปิดๆ ปิดๆ แอร์เป็นระยะเวลาสั้นๆ หลายๆครั้งจึงเปลืองไฟมากกว่าการเปิดแอร์ครั้งนึงแบบยาวๆเสียอีก รู้แบบนี้แล้วไม่ต้องคอยปิดแอร์ทุกทีที่รู้สึกว่าเย็น และเปิดใหม่เมื่อหมดไอแอร์หรอก เพราะนั่นมันกินไฟยิ่งกว่าที่คุณคาดคิดเสียอีก
 
 
กำหนดอุณหภูมิห้องได้เป๊ะด้วยรีโมตแอร์ 
 
หลายๆคนมักคิดว่าอุณหภูมิของห้องที่คุณเปิดแอร์สามารถควบคุมได้เป๊ะๆด้วยรีโมท เช่นกดรีโมทที่ 25 องศา อุณหภูมิภายในห้องก็จะอยู่ที่ 25 องศา ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะถูกเฉพาะกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์เท่านั้นที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้เป๊ะและคงที่เมื่อถึงอุณภูมิห้องถึงจุดที่คุณตั้งไว้ แต่กับแอร์ระบบธรรมดามักจะทำความเย็นให้มีอุณหภูมิต่ำกว่าที่คุณกำหนดไว้ซัก 1-2 องศา คุณจึงรู้สึกว่าเปิดแรกๆแอร์จะเย็นฉ่ำ แต่เมื่อแอร์จับได้ว่าอุณหภูมิสูงเกินจำเป็นจะทำให้แอร์ตัดและเริ่มใหม่นั่นเป็นจุดที่ทำให้คุณเปลืองไฟนั่นเอง
 
เวลาเลือกแอร์นั้นคนที่ศึกษาหาความรู้มาพอสมควรก็จะเลือกซื้อแอร์ที่ตามบีทียูที่เหมาะสมกับการใช้งาน แต่สำหรับมือใหม่หัดเลือกซื้อแอร์ ยิ่งในยุคดิจิตัลที่อะไรๆก็เร่งรีบ หลายบ้านมักตัดปัญหาโดยการเลือกแอร์ที่บีทียูมาก เพราะคิดว่าบีทียูยิ่งมากยิ่งดี ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดเพราะถ้า BTU สูงไปคอมเพลสเซอร์แอร์จะตัดบ่อย ทำให้ความชื้นภายในห้องสูงแถมยังเปลืองไฟ แต่ถ้าเลือก BTU ต่ำเกินไป แอร์ก็จะทำงานหนัก แอร์ไม่ค่อยเย็น และยังทำให้แอร์เสียไวอีกด้วย ดังนั้นการเลือกบีทียูแอร์จึงควรเลือกให้พอดีกับขนาดของห้องและการใช้งาน ไม่สูงไป หรือต่ำไปเพราะไม่ว่าจะแบบไหนก็ส่งผลเสียต่อคุณทั้งนั้น
 
เปิดแอร์ไว้ที่ 25 องศาประหยัดไฟที่สุด
 
หลายๆบ้านมักเข้าใจผิดกับตัวเลข 25 องศาว่าช่วยให้คุณประหยัดไฟ จากการปลูกฝังมาช้านาน จริงๆแล้วการตั้งอุณหภูมิแอร์ไว้ที่ 25 องศาไม่ได้ประหยัดไฟที่สุด แต่เพราะอุณหภูมิ 25 องศานั้นเป็นค่าอุณหภูมิกลางๆที่เย็นกำลังดี เหมาะกับอากาศของบ้านเรา แต่สำหรับบางคนที่คิดว่าอุณหภูมิ 26-28 องศาก็เย็นพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตั้งอุณหภูมิไปเป็น 25 องศา เพราะยังไงการตั้งอุณหภูมิสูงก็ย่อมประหยัดไฟได้มากกว่าการตั้งอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว
Categories
บทความ

6 สาเหตุแอร์เสียงดัง เกิดจากอะไร แก้ยังไงมาดู

6 สาเหตุแอร์เสียงดังเกิดจากอะไร แก้ยังไงมาดู

ฟู่ ๆ ครืด ๆ เสียงแอร์ดังรบกวนการนอนช่างน่ารำคาญเหลือเกิน แต่หยุดก่อน เพราะแอร์มีเสียงดังอาจเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่างก็ได้นะ ลองมาดู 6 สาเหตุแอร์เสียงดัง พร้อมวิธีแก้ที่ Daikin นำมาฝากในวันนี้ เพื่อให้คุณนอนหลับได้เต็มอิ่ม บอกลาเสียงรบกวนจากแอร์ไปได้เลย

แอร์เสียงดัง ถ้าปล่อยไว้จะเป็นอะไรไหม ?

แอร์มีเสียงดังรบกวนการนอนหลับ

ภาพ: แอร์มีเสียงดังรบกวนการนอนหลับ

“แอร์มีเสียงดัง สัญญาณความผิดปกติที่ต้องรีบเช็ค”

หลายคนอาจสงสัยว่า แอร์เสียงดัง ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้แก้ไข จะเป็นอะไรไหม อาจจะเพราะไม่มีเวลา หรือเรียกช่างมาซ่อมคงจะวุ่นวาย ที่จริงแล้ว เสียงแอร์ดังน่าจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่นอนหลับยาก หลับไม่สนิท ยิ่งมีเสียงครืด ๆ ฟู่ ๆ มารบกวนอีก ก็ทำให้หลับไม่เต็มอิ่มได้ รวมถึงการที่แอร์มีเสียงออกมาก็เป็นสัญญาณความผิดปกติหลาย ๆ อย่าง ซึ่งควรได้รับการตรวจเช็คสักนิด แก้ไขก่อนที่จะมีอะไรเสียหาย หรือพังมากไปกว่าเดิม เป็นการดูแลรักษาให้แอร์อยู่คู่บ้านไปได้นาน ๆ นั่นเอง

6 สาเหตุแอร์เสียงดังเกิดจากอะไร มาดูกัน

1.เลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับห้อง

การล้างแอร์

ภาพ: การล้างแอร์

“ล้างแอร์บ้าง ลดเสียงรบกวนและสิ่งสกปรก”

บางคนทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาดูแลบ้าน ไม่เว้นแม้แต่แอร์ ที่ล้างครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ การที่เราไม่ได้ล้างแอร์นาน ๆ จะทำให้ภายในมีฝุ่นและสิ่งสกปรกเข้าไปเกาะตามอุปกรณ์ หรือไม่ก็มีสิ่งแปลกปลอมอย่างพวกมด แมลงที่มาพร้อมเศษขยะเข้าไปอยู่ในตัวเครื่อง ขัดขวางการทำงานของมอเตอร์แอร์ จนเกิดเป็นเสียงดังออกมา

2.แอร์เสียงดัง เพราะเก่าเกินไป

แอร์เก่า

ภาพ: แอร์เก่า

“บางชิ้นส่วนในแอร์เก่าผิดปกติ เลยเกิดเสียงดัง”

แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ซื้อแล้วใช้งานต่อเนื่องในระยะยาว แล้วเคยนับกันบ้างไหม ว่าแอร์ที่บ้านใช้งานมากี่ปีแล้ว ถ้าจู่ ๆ แอร์เกิดมีเสียงดังออกมา มีเสียงคอมเพรสเซอร์สั่นสะเทือน อาจเป็นไปได้ว่ามีบางส่วนที่ผิดปกติเพราะใช้งานมานานแล้ว เช่น

  • ตลับลูกปืนในพัดลมแอร์เสื่อมสภาพ
  • ลูกยางรองแอร์ที่ฐานเสื่อมสภาพ ฉีกขาด
  • น็อตยึดระหว่างตัวเครื่องคอมเพรสเซอร์กับโครงเหล็กคลายตัว
  • โครงสร้างแอร์ผิดรูป ระหว่างอุปกรณ์เกิดช่องว่าง
3. ใบพัดลมแอร์แตก หัก หรือร้าว

ใบพัดลมในเครื่องปรับอากาศ

ภาพ: ใบพัดลมในเครื่องปรับอากาศ

“เช็คใบสภาพพัดลม ก่อนส่วนอื่นจะชำรุดตาม”

จู่ ๆ ถ้าแอร์มีเสียงดัง ลองเช็คใบพัดลมแอร์ดูสักนิด ว่ามีการแตกหัก หรือรอยร้าวไหม เพราะพัดลมแอร์จะมีจุดศูนย์ถ่วง ถ้าหากใบพัดชำรุดและแกนเหวี่ยงบิดหรืองอ ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ เกิดเสียงดัง และหากยังใช้ไปเรื่อย ๆ จนชำรุดเพิ่มขึ้น ส่วนประกอบอื่น ๆ ภายในเครื่องก็อาจเสียหายตามมาได้ ทางที่ดีรีบตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลมก่อนจะดีกว่า

4. ติดตั้งไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน

การติดตั้งแอร์

ภาพ: การติดตั้งแอร์

“ติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน เลยเกิดเสียงดัง”

ใครเพิ่งซื้อแอร์มาใหม่ และช่างเพิ่งมาทำการติดตั้ง หรือจ้างช่างมาล้างแอร์แล้วมีการถอดชิ้นส่วนของแอร์ เพื่อทำความสะอาดภายใน แต่พอเปิดใช้งานแล้วดันมีเสียงแอร์ดังออกมา เป็นไปได้ว่าตอนติดตั้ง หรือตอนประกอบแต่ละชิ้นส่วนกลับเข้าไป ติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน เช่น ขันน็อตไม่แน่นจนน็อตคลายตัว ติดตั้งอุปกรณ์ภายในไม่ดี จนทำให้เกิดเสียงกระทบกันนั่นเอง

5. คอยล์เย็นเสื่อมสภาพ คงต้องลาก่อน

การตรวจเช็คคอยล์เย็น

ภาพ: การตรวจเช็คคอยล์เย็น

“ตลับลูกปืนแห้ง เสียดสีจนเกิดเสียง”

คอยลน์เย็นเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งในแอร์ที่ช่วยส่งลมเย็น ๆ เข้าไปสู่ห้อง และจะมีสิ่งที่เรียกว่าแบริ่งมอเตอร์อยู่ภายในพัดลม ชิ้นส่วนนี้หากใช้งานไปสักระยะแล้วเสื่อมสภาพ ส่วนประกอบจุดใดจุดหนึ่งไม่อยู่ที่เดิม หรือตลับลูกปืนแห้ง ก็จะเกิดการเสียดสี ทำให้แอร์มีเสียงดังออกมาในขณะที่พัดลมทำงานนั่นเอง

6. น้ำยาแอร์มากหรือน้อยไปก็ไม่ดี

 การตรวจเช็คแอร์

ภาพ: การตรวจเช็คแอร์

เสียงแอร์ดังฟู่ ๆ หรือซู่ ๆ คล้ายเสียงลมในท่อ อาจเป็นสัญญาณของอาการน้ำยาแอร์มากไปหรือไม่ก็น้ำยาแอร์เหลือน้อยเกินไป ซึ่งอาจมีบางจุดภายในรั่ว หรือระบบเกิดความผิดปกติ จนทำให้เกิดเป็นเสียงรบกวนออกมาได้ แนะนำว่าควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจเช็คอีกครั้ง

แอร์เสียงดังแก้ได้ไม่ยาก…ถ้าทำแบบนี้

1. ล้างแอร์เป็นประจำสม่ำเสมอ

การล้างแอร์

ภาพ: การล้างแอร์

“ล้างแอร์บ่อย ๆ ลดเสียง แถมสะอาด”

สิ่งสำคัญที่ใครหลายคนมักมองข้าม ทั้ง ๆ ที่เปิดใช้งานแอร์อยู่ทุกวัน ก็คือการหมั่นล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อลดสิ่งสกปรกและฝุ่นที่เข้าไปสะสมในแอร์ รวมถึงเป็นการเช็คและป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอม อย่างแมลง หรือสัตว์เข้าไปอยู่ในแอร์ด้วย เป็นวิธีเบสิคที่แก้ได้ทั้งปัญหาเสียงแอร์ดัง และแอร์ไม่เย็นเลยทีเดียว

2.ใช้บริการช่างแอร์ที่มีมาตรฐาน เชี่ยวชาญแบบ “ตัวจริง”

ในบางกรณีการที่แอร์เสียงดัง ก็มาจากการติดตั้งแอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ช่างขาดประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญ อาจจะประกอบชิ้นส่วนของแอร์ไม่ครบ หรือขันน็อตได้ไม่แน่นหนา เมื่อล้าง ซ่อม หรือทำการติดตั้งแอร์ จึงทำให้มีเสียงรบกวนออกมานั่นเอง
ถ้าแอร์ที่บ้านกำลังเจอปัญหาเสียงแบบนี้ ต้องรีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญด่วน ๆ ความรู้และความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการล้าง ซ่อม หรือปรึกษาด้านเทคนิค สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็ครบเครื่องในที่เดียว

3. เปลี่ยนไปใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ ทางเลือกที่ฉลาดกว่า

 แอร์อินเวอร์เตอร์รุ่น FTKC-WV2S9

ภาพ: แอร์อินเวอร์เตอร์รุ่น FTKC-WV2S9

“ถนอมแอร์และวงจร ด้วยระบบอินเวอร์เตอร์”

การเลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์แทนแอร์ธรรมดา ก็มีส่วนช่วยป้องกันปัญหาเรื่องแอร์เสียงดังเหมือนกัน เพราะระบบถนอมตัวเครื่องและอุปกรณ์มากกว่า เน้นเพิ่มและลดรอบการทำงานแทนเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในห้อง ทำให้ไม่มีเสียงการตัดต่อการทำงานมารบกวน และตัวเครื่องไม่เกิดการกระชากไฟ ช่วยถนอมวงจร มอเตอร์ ยืดอายุคอมเพรสเซอร์ให้ใช้งานได้คงทนมากกว่า
นเงียบ แต่เย็นเร็วทันใจ

ละนี่ก็คือสาเหตุของแอร์เสียงดังและวิธีการแก้ไขที่เรารวบรวมนำมาฝากกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์และช่วยให้แอร์ที่บ้านหมดปัญหาเรื่องเสียงรบกวนไปได้บ้าง

 

เครดิต : https://www.daikin.co.th/service-knowledge/air-conditioner-noise/

Categories
บทความ

วิธีปรับแอร์ให้เย็น ทำอย่างไรให้อากาศเย็นเร็วขึ้นดั่งใจนึก

วิธีเปิดแอร์ให้เย็น เรื่องง่ายแต่เป็นปัญหาช่วงหน้าร้อน

เชื่อว่าช่วงหน้าร้อนในหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนน่าจะเจอกับปัญหาเรื่องสภาพอากาศกันอย่างหนัก โดยเฉพาะความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นถึงขั้นดัชนีความร้อนทะลุเกิน 50 องศาจนบางคนเป็นฮีทสโตรกเสียชีวิตกันด้วยซ้ำ หนึ่งในหนทางดับร้อนที่ดีที่สุดคงไม่พ้นการนอนตากแอร์ดูซีรีย์อยู่บ้านให้สบายใจ แต่จะทำอย่างไรหากเครื่องปรับอากาศเจ้ากรรมดันส่งความเย็นช้าหรือแทบไม่เย็นเลยกับอากาศแบบนี้ เรามีหนทางแก้ไขเบื้องต้นที่จะทำให้แอร์ของคุณเย็นฉ่ำเร็วดั่งใจ


การปรับแอร์ให้เย็น ก่อนไปเรียนรู้มาทราบสาเหตุกันก่อน

การเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วไม่ทำความเย็นได้โดยไวหรือมีปัญหาออกแต่ลมคือสิ่งที่หลายคนพบเจอโดยเฉพาะหน้าร้อน แต่สาเหตุเบื้องต้นอะไรบ้าง เรามีมาให้ได้ทราบกัน ดังนี้

  • ขนาด BTU แอร์ไม่เหมาะสมกับห้อง

ปัญหานี้กลายมาเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้ซื้อแอร์หน้าใหม่ ๆ ต้องเจอ เพราะไม่ทราบว่าห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศของตัวเองต้องใช้แอร์ขนาดกี่ BTU กันแน่ แต่กลับไม่มองเพียงเรื่องราคาที่ถูกเท่านั้น ซึ่งทางด้านช่อง Youtube: Smart Choice ฉลาดเลือกได้แนะนำว่าควรใช้สูตร ดังนี้

ขอขอบคุณข้อมูลและคลิปจาก Youtube: Smart Choice ฉลาดเลือก

สูตรที่ 1 : (กว้างxยาว)xตัวแปร = BTU

*โดยตัวแปรดูได้คร่าว ๆ คือ หากเป็นห้องปกติไม่โดนแดด ห้องนอน = 750 ห้องทำงาน = 850 ขณะที่หากเป็นห้องที่รับแดดจะเปลี่ยนค่าเป็น ห้องนอน = 800 ห้องทำงาน = 900

ตัวอย่าง  ความกว้าง = 5 ความยาว = 5 ตัวแปรห้องนอนโดนแดด = 800

(5×5)x800 = 20,000 BTU

สูตรที่ 2 : {(กว้างxยาว)xสูง}xค่าตัวแปร/3 = BTU

ตัวอย่าง  ความกว้าง = 5 ความยาว = 5 ความสูง = 3.5 ตัวแปรห้องนอนโดดแดด = 800

{(5×5)x3.5}x3.5/3 = 23,333.33 BTU

  • แอร์มีฝุ่นอุดตัน

หนึ่งในปัญหาที่หลายคนที่ใช้เครื่องปรับอากาศต้องเคยเจอ นั่นคือแอร์มีฝุ่นหนาอยู่ภายในเครื่อง เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถปล่อยลมออกมาได้เป็นปกติ ซึ่งจุดนี้การแก้ไขเบื้องต้นคือการล้างแอร์หรือแผ่นกรองแอร์เอง โดยจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ยี่ห้อและรุ่น หรือหากอยากให้ชัวร์สามารถจ้างช่างมาล้างแอร์แทนก็ได้ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วจะบริการทำความสะอาดให้ถึงในส่วนของคอมเพรสเซอร์แอร์ด้วย

  • ตั้งค่ารีโมทแอร์ผิด

หนึ่งในปัญหาที่หลายคนเจอคือการปรับรีโมทแอร์ผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งในส่วนนี้บางครั้งอาจจะไปโดนปรับองศาเพิ่มขึ้นหรือไปโดนในส่วนที่ทำให้เกิดความร้อนแทน


ปรับแอร์ให้เย็น มีวิธีไหนทำให้เย็นเร็วขึ้นบ้าง

FAN
การเปิดพัดลมช่วยกระจายความเย็นได้ดีขึ้น
  • การเปิดพัดลมเสริมกับแอร์

แม้จะดูเป็นการสิ้นเปลืองที่ต้องเปิดทั้งสองอย่าง แต่หารู้ไม่ว่าเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้กันมานานแล้ว โดยพัดลมนั้นจะช่วยกระจายความเย็นของแอร์ได้ดีขึ้น ช่วยให้คุณสัมผัสความเย็นได้ไวขึ้น นอกจากนี้การใช้เทคนิคนี้ในสภาพอากาศทั่วไปด้วยการเปิดแอร์ 27 องศา พร้อมพัดลม ยังช่วยประหยัดไฟได้ดีกว่าเปิดแอร์ในอุณหภูมิต่ำอีกต่างหาก

  • เปิดโหมดให้เหมาะสม

กดรีโมทแอร์เปิดโหมดให้เหมาะสมก็คือสิ่งที่ทำได้เช่นกัน ซึ่งหากคุณเปิดโหมด Cool ก็จะทำให้แอร์ของคุณเย็นฉ่ำได้ง่ายขึ้น

  • ล้างแอร์

ตามที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า แอร์อาจจะมีฝุ่นเกาะติดทำให้การกระจายลมออกมาเป็นเรื่องยาก ห้องเย็นช้า ฉะนั้นแล้วการล้างแอร์จึงนับเป็นอีกหนทางแก้ไขเบื้องต้นที่คุณสามารถล้างตัวกรองเพื่อให้ลมแอร์ส่งความเย็นได้ง่ายขึ้นมากนั่นเอง

  • ปิดประตูหน้าต่างและม่านให้สนิท

การปิดประตูกับหน้าต่างให้สนิทเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เครื่องปรับอากาศทำความเย็นได้ไวขึ้น เนื่องจากทำความเย็นแล้วแอร์ไม่หลุดรอดไปไหน วนเวียนอยู่ภายในห้อง แต่ในทางกลับกันหากคุณเปิดประตูทิ้งไว้ก็จะเป็นการปล่อยความเย็นของแอร์สู่ภายนอก นอกจากแอร์จะไม่เย็นเร็วแล้ว มันยังจะเป็นการเปลืองค่าไฟมากขึ้นด้วย เนื่องจากต้องทำงานอย่างหนักตลอด ขณะที่ม่านควรเลือกใช้ที่เก็บความร้อนน้อยก็จะช่วยให้อุณหภูมิห้องลดลงได้

เป็นอย่างไรกันบ้างกับแนวทางวิธีเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำขึ้น คิดไปคิดมาก็เหมือนประเทศไทยถูกสาปให้ต้องรับมือก้บความร้อนทุก ๆ ปี ดังนั้นหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านแก้ไขปัญหาเรื่องอุณหภูมิห้องของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานดีก็คือสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ซึ่งยิ่งหากเป็นแอร์ที่มีระบบ INVERTER ยังจะช่วยให้รักษาอุณหภูมิได้คงที่ ไม่ตัดรอบบ่อยช่วยประหยัดไฟ ทั้งยังเหมาะสมกับระบบไฟแบบโซล่าเซลล์ด้วย เนื่องจากมีอัตราการใช้ไฟฟ้าที่น้อยกว่าปกตินั่นเอง

Categories
บทความ

เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟกี่บาท ?

เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟกี่บาท ?

เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟกี่บาท ?
บทความนี้ ลงทุนแมนจะไม่ได้เล่าเรื่องเศรษฐกิจ ธุรกิจ หรือการลงทุน แต่จะพูดถึงเรื่องของ “ค่าไฟฟ้า”

เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ และค่าไฟก็เรียกได้ว่าเป็นต้นทุน ที่เราต้องจ่ายเพื่อการดำรงชีวิตในแต่ละวัน

หากตั้งต้นจากคำถามง่าย ๆ คือ
ถ้าเราเปิดแอร์ 1 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้ามากขนาดไหน
หน่วยที่ใช้วัดคืออะไร แล้วเราจะต้องเสียค่าไฟเท่าไร ?

ถ้าเราเป็นหนึ่งในคนที่สงสัย
ลงทุนแมนจะสรุปเรื่องค่าไฟ ในฉบับง่าย ๆ ให้ฟัง

ก่อนอื่น เรามารู้จักกับ Watt อ่านว่า วัตต์ กันก่อน

คำนี้ จะเป็นคำแรกที่เราจะเห็น หรือได้ยินเสมอเมื่อไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า
โดย วัตต์ จะเป็นตัวบอกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าว ใช้กำลังไฟเท่าไร เช่น
– พัดลม ใช้กำลังไฟ 50 วัตต์
– หลอดไฟ ใช้กำลังไฟ 10 วัตต์
– เครื่องปรับอากาศ ใช้กำลังไฟ 2,000 วัตต์
หรือถ้าอยากแปลง วัตต์ ให้เป็น กิโลวัตต์ ก็แค่หารด้วย 1,000
ยกตัวอย่าง ถ้าเราเปิดแอร์ 2,000 วัตต์ ก็จะใช้กำลังไฟ 2 กิโลวัตต์
แต่สำหรับการคิดค่าไฟ เราต้องเอากำลังไฟฟ้าที่ใช้ คูณด้วย ระยะเวลาที่เราใช้
ดังนั้นถ้าเราเปิดแอร์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
แปลว่าเราใช้ไฟไป 2 x 1 = 2 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ซึ่ง “กิโลวัตต์ชั่วโมง” นี้เอง ก็จะตรงกับคำว่า “หน่วย” ในบิลค่าไฟของเราพอดี
แปลว่า หากค่าไฟอยู่ที่ 4.5 บาทต่อหน่วย
ค่าไฟที่เราต้องเสียจากการเปิดแอร์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ก็จะเท่ากับ 2 x 4.5 = 9 บาท..
ถ้าเราเปิดแอร์วันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 30 วัน ก็จะเสียค่าไฟฟ้าประมาณ 2,160 บาท
ดังนั้นถ้าเราจะซื้อแอร์สักเครื่องมาเปิดตอนกลางคืน อาจคำนวณแบบง่าย ๆ ได้เลยว่าจะเสียค่าไฟเดือนละ 2,000 บาท
ทั้งนี้ตัวเลขอาจแตกต่างจากนี้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับ วัตต์ของแอร์
โดยทั่วไป แอร์ขนาด 20,000 BTU จะใช้ไฟประมาณ 2 กิโลวัตต์ และชั่วโมงการทำงานของแอร์
เพราะปกติการที่เราเปิดแอร์ 10 ชั่วโมง
เครื่องปรับอากาศอาจจะทำงานจริงเพียงแค่ 7 ชั่วโมง เพราะเมื่อห้องมีอุณหภูมิถึงค่าที่กำหนด เครื่องจะหยุดทำความเย็น และจะวนกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อห้องมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น
แต่ในฤดูร้อน แอร์จะต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะอุณหภูมิในบ้านของเราสูงกว่าปกติ
ส่งผลให้ค่าไฟที่เราจ่ายตอนสิ้นเดือนแพงขึ้นได้ แม้เราจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไม่ต่างจากเดิม
อย่างไรก็ตาม การคำนวณว่าแต่ละเดือนจะเสียค่าไฟเท่าไรนั้น ก็จะไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบที่ยกตัวอย่างข้างต้น เนื่องจากในบิลค่าไฟฟ้า จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ

 

1. ค่าพลังงานไฟฟ้า หรือค่าไฟฟ้าฐาน จะคิดค่าบริการ แบบอัตราก้าวหน้า ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า อย่างเช่น
– ไฟฟ้า 150 หน่วยแรก มีราคา 3.2 บาทต่อหน่วย
– ไฟฟ้าหน่วยที่ 151-400 มีราคา 4.2 บาทต่อหน่วย
– ไฟฟ้าตั้งแต่หน่วยที่ 401 ขึ้นไป ก็จะมีราคา 4.4 บาทต่อหน่วย
2. ค่า Ft หรือก็คือ ต้นทุนผันแปรและต้นทุนอื่น ๆ ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะมีการปรับทุก ๆ 4 เดือน โดยในเดือนเมษายน อัตราค่า Ft อยู่ที่ 0.93 บาทต่อหน่วย
3. ค่าบริการรายเดือน เช่น ค่าจดหน่วย และจัดทำจัดส่งบิลค่าไฟ ปัจจุบันมีค่าบริการอยู่ที่ 24.62 บาท
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
ทั้งนี้ตัวเลขข้างต้นเป็นอัตราสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัยเท่านั้น
หากเป็นกิจการ หรือโรงงาน ก็จะถูกเรียกเก็บในอัตราที่แตกต่างกัน
จะเห็นว่าการที่เราจะจ่ายค่าไฟฟ้าถูก หรือแพง ก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกัน ทั้งที่เราสามารถควบคุมเองได้ อย่างเช่น การเลือกกำลังไฟฟ้า รวมถึงฟังก์ชันเสริม และประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
อีกข้อก็คือ การวางแผนการใช้งาน ว่าจะใช้มากหรือใช้น้อยอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา
ในขณะเดียวกัน ก็มีปัจจัยที่ผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างเราควบคุมไม่ได้ คือ อัตราค่าไฟฟ้า ทั้งค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้ มีส่วนทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงหรือแพงขึ้นได้ แม้เราจะใช้ไฟฟ้าเท่าเดิม..
Categories
บทความ

6 สิ่งที่ควรรู้ก่อน ติดตั้งแอร์

6 สิ่งที่ควรรู้ก่อน ติดตั้งแอร์

การ ติดตั้งแอร์ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการความเย็นภายในบ้านหรือที่ทำงาน ในปี 2023 นี้ ความคุ้มค่าของ ราคาติดตั้งแอร์ นั้นสำคัญไม่แพ้กัน วันนี้เราจะมาช่วยให้คำตอบเกี่ยวกับการ ติดตั้งแอร์ ที่คุ้มค่าที่สุด และเคล็ดลับในการเลือก ติดตั้งแอร์บ้าน ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ

1. การเลือกประเภทของแอร์

เริ่มต้นที่การเลือกประเภทของแอร์ มีหลายประเภทให้เลือก เช่น แอร์ตั้งพื้น, แอร์แขวน, แอร์ติดผนัง และแอร์เดินสาย เพื่อความคุ้มค่าในการ ติดตั้งแอร์บ้าน ควรพิจารณาความต้องการ ขนาดพื้นที่ และงบประมาณของคุณ

 

2. ความสามารถในการประหยัดพลังงาน

หากคุณต้องการความคุ้มค่าสูงสุด ควรเลือกแอร์ที่มีความสามารถในการประหยัดพลังงาน ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น อินเวอร์เตอร์ จะช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว

 

3. การเลือกขนาด BTU ที่เหมาะสม

การเลือกขนาด BTU แอร์ที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ใช้งานเป็นอีกปัจจัยสำคัญ การเลือก BTU ที่สูงที่สุดเกินไปอาจทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่การเลือก BTU ที่ต่ำเกินไปอาจไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้ถูกต้อง พิจารณาพื้นที่ของห้อง ความสูงของเพดาน และการใช้งานเพื่อเลือกขนาด BTU ที่เหมาะสม

 

4. การศึกษาและเปรียบเทียบราคาติดตั้งแอร์

เมื่อคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับประเภทแอร์ ความสามารถในการประหยัดพลังงาน และขนาด BTU ที่เหมาะสม ถึงเวลาที่คุณจะต้องเปรียบเทียบ ราคาติดตั้งแอร์ การศึกษาและเปรียบเทียบราคาจากหลายแห่ง จะช่วยให้คุณได้ข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดในการ ติดตั้งแอร์บ้าน

 

5. ความคุ้มค่าของการรับประกัน

การ ติดตั้งแอร์ เป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้นควรพิจารณาความคุ้มค่าของการรับประกัน หากคุณเลือกแอร์ที่มีการรับประกันคุณภาพและความยาวนาน เมื่อเกิดปัญหาจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้

 

6. การเลือกบริษัทติดตั้งแอร์ที่มีประสบการณ์

เพื่อให้คุณมั่นใจในความคุ้มค่าของการติดตั้งแอร์ ควรเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการติดตั้งแอร์ ซึ่งจะมีบริการหลังการขายที่ดี และช่างที่มีความชำนาญในการติดตั้งแอร์ การเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือจะช่วยให้คุณมั่นใจในความคุ้มค่าและความสะดวกสบายในการใช้งาน

 

การ ติดตั้งแอร์ ให้คุ้มค่าที่สุดในปี 2023 นั้น คุณต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ประเภทของแอร์ ราคาติดตั้งแอร์ ความสามารถในการประหยัดพลังงาน ขนาด BTU ที่เหมาะสม การเปรียบเทียบ ราคาติดตั้งแอร์ การรับประกัน การเลือกบริษัทติดตั้งแอร์ การดูแลรักษา และการวางแผนการใช้งานแอร์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของคุณ ด้วยการคำนึงถึงคำแนะนำทั้งหมดเหล่านี้ คุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานแอร์ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงาน และเพิ่มอายุการใช้งานของแอร์ ทำให้คุณได้รับความคุ้มค่าสูงสุดจากการ ติดตั้งแอร์บ้าน ของคุณ
ดังนั้น การตัดสินใจในการ ติดตั้งแอร์ ที่คุ้มค่าสุดในปี 2023 นั้น หวังว่าข้อมูลและคำแนะนำที่ให้มานี้จะช่วยให้คุณเลือกแอร์ที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ และสามารถใช้งานอย่างคุ้มค่าและประหยัดไฟอีกด้วย