ทำความรู้จักกับ ระบบปรับอากาศ Air Conditioning ขนาดใหญ่ในอาคาร คืออะไร

ระบบปรับอากาศ Air Conditioning คืออะไร

ตามปกติเมื่อได้ยินคำว่า “การปรับอากาศ หรือ ระบบปรับอากาศ” สิ่งแรกที่ทุกคนเข้าใจก็คือการทำอากาศให้เย็นเท่านั้น แต่ในความหมายที่แท้จริงของคำว่าการปรับอากาศแล้ว จะต้องมีความหมายรวมถึงการควบคุมอุณหภูมิภายในห้องปรับอากาศ ผ่านคอยล์เย็นและสารทำความเย็น ให้มีอุณหภูมิพอเหมาะให้คนที่อยู่ข้างในมีความรู้สึกสบาย ควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ขออากาศการระบายอากาศเสียทิ้ง รวมทั้งการหมุนเวียนของอากาศบริสุทธิ์และการกรองอากาศที่สกปรกให้สะอาด

ระบบปรับอากาศในอาคาร แตกต่างอย่างไรกับเครื่องปรับอากาศแบบปกติ

เครื่องปรับอากาศแบบปกติหรือแอร์บ้าน จะมีหลักการทำงานคล้ายๆกับระบบปรับอากาศภายในอาคาร จะแตกต่างกันที่ แอร์บ้านจะให้สารทำความเย็นวิ่งผ่านคอยล์เย็นทำให้เกิดลมเย็น ส่วนระบบปรับอากาศในอาคารหรือ Chiller จะให้สารทำความเย็นทำน้ำให้เย็นก่อน แล้วจึงส่งน้ำเย็นไปหา ท่อส่งลม หรือ AHU เพื่อผลิตอากาศเย็นเข้าไปยังพื้นที่ที่ต้องการทำความเย็น การเลือกรูปแบบระบบทำความเย็นในอาคาร สำนักงาน หรือบ้าน จะดูจากพื้นที่ที่ต้องการทำควมเย็นเป็นหลัก

ระบบปรับอากาศมีกี่ประเภท กี่แบบ

ระบบปรับอากาศที่นิยมใช้ในปัจจุบันสามารถแบ่งได้ดังนี้คือ

  1. ระบบปรับอากาศระบบน้ำยา ( Direct Expansion System ) ขนาด 1-25 Ton ความเย็น
    • นิยมใช้กับบ้านพัก , คอนโดมิเนียมที่พักอาศัย , สำนักงานที่ไม่ใหญ่มาก
  2. ระบบปรับอากาศระบบ Packaged Unit ( มี Compressor คอยล์ร้อน , คอยล์เย็น , พัดลมอยู่ในเครื่อง )
    1. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ( 15 – 30 Ton ความเย็น )
    2. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ( 15 – 45 Ton ความเย็น )
    • นิยมใช้กับ Office condominium ซึ่งแบ่งแยกความเป็นเจ้าของในแต่ละ Unit โดยส่วนกลางจะจัดหา Cooling Tower และ Pump ให้ ระบายความร้อนจากเครื่อง Package ให้ ซึ่งค่าไฟฟ้าแยกจ่ายตามแต่ละ Unit
  3. ระบบปรับอากาศระบบน้ำเย็น ( Chilled water system )
    1. ระบายความร้อนด้วยอากาศ Air Cooled Chiller ( 40 – 200 Ton ความเย็น )
    2. ระบายความร้อนด้วยน้ำ Water Cooled Chiller ( 100 – 1,500 Ton ความเย็น )
    • นิยมใช้กีบเจ้าของที่เป็นเจ้าของอาคาร และต้องการจ่ายค่าไฟฟ้าเองเช่น โรงแรม , ศูนย์การค้า , สำนักงาน เป็นต้น
 

ระบบการจ่ายลมเย็นของระบบปรับอากาศในอาคาร

ระบจ่ายลมเย็นของระบบปรับอากาศจะแบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ

1. ระบบหมุนเวียนอากาศสำหรับระบบปรับอากาศแบบไม่มีท่อส่งลม ระบบนี้ใช้เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนในพื้นที่ปรับอากาศ โดยอากาศในพื้นที่จะถูกพัดลมดูดหมุนเวียนไปยังคอยล์เย็นแล้วส่งกลับไปที่ห้องปรับอากาศอีกครั้ง มีการระบายอากาศโดยพัดลมดูดอากาศที่ทำหน้าที่ดูดอากาศออกไปทิ้งยังภายนอก และเติมอากาศใหม่โดยอาศัยการแทรกซึมของอากาศตามช่องลม ขอบหน้าต่าง หรือขอบใต้ประตู

2. ระบบหมุนเวียนอากาศสำหรับระบบปรับอากาศแบบมีท่อส่งลม ระบบปรับอากาศที่ใช้ท่อส่งลมเย็นมักเป็นระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ โดยอากาศในพื้นที่ที่ต้องการปรับอากาศจะถูกพัดลมดูดหมุนเวียนอากาศกลับไปที่คอยล์เย็นผ่านทางท่อลม ซึ่งในขณะที่หมุนเวียนอากาศอยู่ก็จะมีการเติมอากาศใหม่จากภายนอกเข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพของอากาศ และส่งกลับไปยังพื้นที่ปรับอากาศ

 

ปัจจัยสำคัญในการความคุมการปรับอากาศ สรุปได้ดังนี้

1. ปรับและควบคุมอุณหภูมิ การปรับอุณหภูมิภายในห้องปรับอากาศให้อยู่ในช่วงที่คนเรากำลังรู้สึกสบายเป็นสิ่งสำคัญมาก อุณหภูมิที่คนกำลังสบายควรอยู่ระหว่าง 24 – 26 องศาเซลเซียส

2. ควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นสัมพัทธ์มีผลต่อความสบายของมนุษย์เรามากพอๆ กับอุณหภูมิ ถ้าความชื้นสำพันธ์มีค้าน้อยมาก ก็จะทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว ผิวแห้ง คัน ได้ ความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสำหรับมนุษยืเราที่อยู่ได้สบายควรมีค่าประมาณ 50-60 %R.H. ( R.H. ย่อมาจาก Relative humidity หมายถึง ความชื้นสัมพัทธ์ )

3. ระบายอากาศเสียทิ้ง แม้ว่าในห้องปรับอากาศจะมีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม แต่ถ้าอากาศในห้องยังอับทึบและไม่บริสุทธิ์ ก็ย่อมทำให้ผู้อาศัยอยู่ข้างในรู้สึกอึดอัดและไม่สุขสบายดังนั้นการปรับอากาศจึงต้องคำนึงถึงการระบายอากาศเสียทิ้งอีกด้วย

4. การหมุนเวียนของอากาศบริสุทธิ์ การหมุนเวียนของอากาศบริสุทธิ์ภายในห้องปรับอากาศต้องคำนึงถึงความเร็วของลมด้วย ถ้าลมส่งแรกเกินไปปะทะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยตรงตลอดเวลาแล้ว จะทำให้ผู้อยู่ในห้องรู้สึกไม่สุขสบายได้

5. การกำจัดฝุ่นละออง ควันบุหรี่ กลิ่น และเสียง เนื่องจากห้องปรับอากาศต้องปิดมิดชิดมีการปรับอากาศและระบายอากาศที่ดีซึ่งเป็นการขจัดสิ่งรบกวนต่างๆได้ เช่น ฝุ่นละออง ควัน กลิ่น และเสียงอึกทึกจากภายนอกให้ลดน้องลงได้