Categories
บทความ

วิธีการเลือกแอร์ให้เหมาะกับสุขภาพของผู้ใช้งาน

วิธีการเลือกแอร์ให้เหมาะกับสุขภาพของผู้ใช้งาน

ChatGPT said:
การเลือกแอร์ที่เหมาะกับสุขภาพของผู้ใช้งานมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจ เพราะแอร์ที่ดีนอกจากจะช่วยทำความเย็นแล้วยังสามารถสร้างอากาศบริสุทธิ์และลดสารก่อภูมิแพ้ในห้องได้ มาดูวิธีการเลือกแอร์ที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นกันครับ:

1. เลือกแอร์ที่มีระบบกรองอากาศคุณภาพสูง

  • ระบบกรองอากาศในแอร์สามารถช่วยกำจัดฝุ่น ควัน สารก่อภูมิแพ้ และแบคทีเรียได้ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ แนะนำให้เลือกแอร์ที่มีฟิลเตอร์ชนิด HEPA (High-Efficiency Particulate Air) ที่สามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็กมาก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แอร์บางรุ่นยังมีฟิลเตอร์กำจัดเชื้อโรคที่ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในอากาศ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าอากาศในห้องจะสะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น

2. เลือกแอร์ที่มีเทคโนโลยีกำจัดกลิ่นและเชื้อรา

  • แอร์บางรุ่นมาพร้อมกับระบบกำจัดกลิ่น เช่น เทคโนโลยี UV-C ที่ใช้แสงอัลตราไวโอเลตเพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในอากาศ
  • การมีระบบกำจัดเชื้อราในแอร์จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราในเครื่องปรับอากาศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการสูดดมเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย

3. ฟังก์ชันปรับระดับความชื้น

  • ระดับความชื้นในห้องเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในห้องที่เปิดแอร์ตลอดเวลา เพราะอากาศอาจจะแห้งจนทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจได้
  • การเลือกแอร์ที่มีฟังก์ชันควบคุมความชื้นหรือมีโหมดเพิ่มความชื้นจะช่วยปรับอากาศในห้องให้สมดุล ลดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ

4. เลือกแอร์ที่มีระบบ Inverter เพื่อสุขภาพและประหยัดพลังงาน

  • แอร์ที่ใช้ระบบ Inverter สามารถปรับการทำงานได้ตามอุณหภูมิของห้องจริง ๆ ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ไม่ทำให้ผู้ใช้งานต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเป็นหวัดหรือเจ็บคอจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
  • นอกจากนี้ ระบบ Inverter ยังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้แอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการปล่อยคาร์บอนซึ่งมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อม

5. เลือกแอร์ที่มีโหมดเงียบ (Quiet Mode)

  • เสียงดังจากแอร์อาจรบกวนการนอนหรือการพักผ่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาในการนอนหลับ
  • แนะนำให้เลือกแอร์ที่มีโหมดเงียบ ซึ่งช่วยลดเสียงรบกวนได้ เพื่อให้การพักผ่อนเป็นไปอย่างมีคุณภาพ

6. ฟังก์ชันควบคุมอุณหภูมิและการตั้งเวลา

  • แอร์ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและตั้งเวลาเปิด-ปิดได้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการอยู่ในห้องที่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป นอกจากนี้การตั้งเวลาให้แอร์ปิดก่อนตื่นยังช่วยให้ร่างกายปรับสภาพก่อนออกจากห้องแอร์ได้ดีขึ้นอีกด้วย

7. เลือกแอร์ที่ใช้สารทำความเย็นที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

  • สารทำความเย็น (Refrigerant) ที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เช่น R-32 หรือ R-410A เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและช่วยลดการปล่อยสารที่ทำลายชั้นโอโซน

สรุป

การเลือกแอร์ที่เหมาะกับสุขภาพควรคำนึงถึงระบบกรองอากาศ คุณสมบัติการปรับความชื้น ระบบ Inverter ฟังก์ชันเงียบ และสารทำความเย็นที่ปลอดภัย การเลือกแอร์ที่มีฟังก์ชันเหล่านี้จะช่วยให้คุณและคนในครอบครัวได้รับอากาศที่สะอาด ปลอดภัย และเหมาะสมต่อสุขภาพ

Categories
บทความ

ประเภทของแอร์โรงงาน: แอร์แบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ

ประเภทของแอร์โรงงาน: แอร์แบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ?

การเลือกแอร์สำหรับโรงงานไม่ใช่เพียงแค่การเลือกตามขนาดพื้นที่ แต่ยังต้องคำนึงถึงประเภทของการใช้งาน ความต้องการของอุณหภูมิ ความชื้น และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ การเลือกแอร์ที่เหมาะสมกับลักษณะงานและอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่จึงสำคัญมาก บทความนี้จะช่วยแนะนำประเภทของแอร์โรงงาน และคุณสมบัติพิเศษของแต่ละประเภท พร้อมคำแนะนำว่าธุรกิจแบบใดเหมาะกับแอร์ประเภทไหน เพื่อช่วยให้เจ้าของโรงงานตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


1. แอร์โรงงานแบบระบบรวม (Centralized HVAC System)

คุณสมบัติ: แอร์แบบระบบรวม หรือ HVAC ระบบรวม เป็นระบบที่ใช้เครื่องเดียวในการทำความเย็นและควบคุมอุณหภูมิทั่วทั้งพื้นที่ โดยแอร์จะถูกติดตั้งไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น บนหลังคาหรือบริเวณด้านนอก แล้วกระจายความเย็นผ่านท่อลมไปยังแต่ละพื้นที่ในโรงงาน

เหมาะกับธุรกิจ:

  • โรงงานขนาดใหญ่ที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิอย่างสม่ำเสมอ
  • ธุรกิจที่ต้องการการควบคุมความชื้น เช่น อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร
  • โรงงานที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการดูแลรักษาในระยะยาว

ข้อดี:

  • การควบคุมอุณหภูมิได้อย่างทั่วถึง
  • ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหลายๆ จุดเพราะเป็นระบบเดียว
  • สามารถปรับแต่งและควบคุมอุณหภูมิได้สะดวกจากศูนย์กลาง

ข้อเสีย:

  • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นค่อนข้างสูง
  • ต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งท่อลมที่ใหญ่พอสมควร

2. แอร์โรงงานแบบแยกส่วน (Split System)

คุณสมบัติ: แอร์แบบแยกส่วนหรือ Split System เป็นระบบที่มีหน่วยทำความเย็นอยู่ภายนอกอาคารและตัวแอร์ภายในที่ควบคุมความเย็นแยกกันในแต่ละพื้นที่ แอร์ประเภทนี้สามารถตั้งค่าอุณหภูมิที่แตกต่างกันในแต่ละโซนได้ ทำให้สามารถควบคุมความเย็นให้เหมาะสมตามความต้องการในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหมาะกับธุรกิจ:

  • โรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก
  • ธุรกิจที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิในแต่ละโซนที่แตกต่างกัน เช่น พื้นที่ผลิตและพื้นที่จัดเก็บ
  • โรงงานที่มีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถติดตั้งระบบรวมได้

ข้อดี:

  • ติดตั้งง่ายและยืดหยุ่นในแต่ละโซน
  • ลดการใช้พลังงานโดยไม่ต้องเปิดแอร์ทั้งระบบ สามารถเปิดเฉพาะโซนที่ใช้งานอยู่ได้
  • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่สูงมาก

ข้อเสีย:

  • ต้องบำรุงรักษาหลายจุด เพราะมีแอร์หลายเครื่องในแต่ละโซน
  • ประสิทธิภาพอาจลดลงในระยะยาวหากใช้งานอย่างต่อเนื่องในหลายโซน

3. แอร์แบบคอยล์เย็น (Chilled Water System)

คุณสมบัติ: ระบบคอยล์เย็นเป็นระบบแอร์ที่ใช้เครื่องทำน้ำเย็นในการควบคุมอุณหภูมิ โดยการสร้างน้ำเย็นที่ถูกกระจายผ่านท่อลมภายในระบบเพื่อกระจายความเย็นไปยังพื้นที่ต่างๆ ในโรงงาน โดยระบบนี้เป็นที่นิยมในโรงงานที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ

เหมาะกับธุรกิจ:

  • โรงงานขนาดใหญ่ที่ต้องการความแม่นยำในการควบคุมอุณหภูมิ
  • อุตสาหกรรมที่ต้องการการควบคุมความชื้น เช่น อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
  • โรงงานที่มีความร้อนสูง เช่น โรงงานหลอมเหล็ก

ข้อดี:

  • ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้ดีมาก
  • ระบบมีความยืดหยุ่นและสามารถเพิ่มขยายได้ง่าย
  • ประหยัดพลังงานในระยะยาว

ข้อเสีย:

  • การติดตั้งและการบำรุงรักษามีค่าใช้จ่ายสูง
  • ใช้พื้นที่ในการติดตั้งท่อระบบน้ำเย็นพอสมควร

4. แอร์แบบตั้งพื้นหรือพัดลมอุตสาหกรรม (Industrial Portable AC/Fan)

คุณสมบัติ: แอร์แบบตั้งพื้นหรือพัดลมอุตสาหกรรมเป็นแอร์แบบพกพาหรือพัดลมขนาดใหญ่ที่เหมาะกับโรงงานที่ไม่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิที่ซับซ้อนมาก โดยเครื่องนี้สามารถเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่ต้องการความเย็นชั่วคราวได้ เหมาะกับการใช้งานแบบยืดหยุ่น

เหมาะกับธุรกิจ:

  • โรงงานขนาดเล็กที่ต้องการระบายอากาศในบางจุด
  • ธุรกิจที่มีพื้นที่โล่งและต้องการระบบระบายความร้อนชั่วคราว
  • โรงงานที่มีความร้อนเฉพาะจุด และต้องการลดอุณหภูมิในพื้นที่นั้นๆ เป็นบางเวลา

ข้อดี:

  • ราคาถูก ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก
  • ประหยัดพลังงาน เพราะใช้งานในพื้นที่ที่จำเป็นเท่านั้น
  • ดูแลรักษาง่ายและไม่ซับซ้อน

ข้อเสีย:

  • ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้ทั่วถึงได้ทั้งโรงงาน
  • ประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิอาจไม่เพียงพอสำหรับโรงงานที่ต้องการความเย็นเฉพาะเจาะจง

5. แอร์แบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Air Conditioning)

คุณสมบัติ: แอร์แบบพลังงานแสงอาทิตย์เป็นแอร์ที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการทำความเย็น เป็นระบบที่ช่วยลดค่าไฟและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซลาร์เซลล์ช่วยในการทำงานของแอร์

เหมาะกับธุรกิจ:

  • โรงงานที่ต้องการลดต้นทุนค่าไฟฟ้า
  • ธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • โรงงานในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดเกือบตลอดทั้งปี

ข้อดี:

  • ประหยัดพลังงานไฟฟ้าและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อเสีย:

  • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์สูง
  • อาจไม่เพียงพอหากพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ

สรุป

การเลือกแอร์โรงงานที่เหมาะสมควรพิจารณาทั้งขนาดพื้นที่ ความต้องการในการควบคุมอุณหภูมิ และงบประมาณในการติดตั้งและบำรุงรักษา ระบบแอร์แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและประโยชน์ที่แตกต่างกัน การเลือกใช้แอร์ที่ตรงกับความต้องการจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

Categories
บทความ

ทำไมโรงงานควรติดตั้งระบบอีแวป

ทำไมโรงงานควรติดตั้งระบบอีแวป

ทำไมโรงงานควรติดตั้งระบบอีแวป ระบบอีแวปมีข้อดีมากมายสำหรับโรงงาน ช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำงาน ประหยัดพลังงาน ลดฝุ่นละอองและมลพิษ ป้องกันอัคคีภัย ติดตั้งง่าย บำรุงรักษาสะดวก เหมาะสำหรับโรงงานทุกประเภท
หลายเหตุผลที่โรงงานควรติดตั้งระบบอีแวป
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำงาน
•อากาศร้อนส่งผลเสียต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ระบบอีแวปช่วยลดอุณหภูมิภายในโรงงานลงได้ 4-10 องศาเซลเซียส ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างสบายตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน •อากาศร้อนยังส่งผลต่อคุณภาพสินค้า ระบบอีแวปช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในโรงงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยป้องกันสินค้าเสียหาย
ประหยัดพลังงาน
•ระบบอีแวปใช้พลังงานน้อยกว่าระบบปรับอากาศแบบทั่วไป ประมาณ 50-80% ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า •ระบบอีแวปเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ปล่อยสาร CFC หรือสารทำความเย็นที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศ
ลดฝุ่นละอองและมลพิษ
•ระบบอีแวปช่วยกรองฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศ ทำให้อากาศภายในโรงงานสะอาด บริสุทธิ์ ปลอดภัยต่อสุขภาพของพนักงาน •ฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศยังส่งผลเสียต่ออุปกรณ์และเครื่องจักร ระบบอีแวปช่วยป้องกันอุปกรณ์และเครื่องจักรจากความเสียหาย ยืดอายุการใช้งาน
ป้องกันอัคคีภัย
•ระบบอีแวปไม่ใช้สารไวไฟหรือสารเคมีอันตราย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย
ติดตั้งง่ายและบำรุงรักษาสะดวก
•ระบบอีแวปมีโครงสร้างเรียบง่าย ติดตั้งง่าย บำรุงรักษาสะดวก ประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังมีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมก่อนติดตั้งระบบอีแวป •พื้นที่ที่ติดตั้งระบบอีแวปควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก •ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศไม่ควรสูงเกินไป •ต้องมีระบบกรองน้ำเพื่อป้องกันตะกรันอุดตันหัวฉีด หากโรงงานของคุณกำลังมองหาวิธีปรับปรุงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำงาน ประหยัดพลังงาน และลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ระบบอีแวปเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
Categories
บทความ

ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อใช้แอร์สำหรับมือใหม่

ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อใช้แอร์สำหรับมือใหม่

การใช้แอร์หรือเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่จำเป็นในหลายพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อน แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้งานแอร์ อาจพบเจอปัญหาต่าง ๆ ที่อาจทำให้การใช้งานไม่สะดวกหรือต้องการการปรับปรุงเพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นี่คือปัญหาที่พบบ่อยเมื่อใช้แอร์และแนวทางในการแก้ไข:

1. แอร์ไม่เย็นหรือเย็นช้า

สาเหตุ:

  • การตั้งค่าอุณหภูมิไม่เหมาะสม
  • ฟิลเตอร์แอร์สกปรก ทำให้ลมไม่สามารถไหลผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • คอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติ

วิธีแก้ไข:

  • ตรวจสอบการตั้งค่าอุณหภูมิ ควรตั้งไว้ที่ประมาณ 24-26 องศาเซลเซียสสำหรับการใช้งานปกติ
  • ล้างหรือเปลี่ยนฟิลเตอร์อากาศเป็นประจำ เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
  • หากพบว่าแอร์ยังไม่เย็นแม้ทำความสะอาดแล้ว ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบคอมเพรสเซอร์

2. น้ำหยดจากแอร์

สาเหตุ:

  • ท่อระบายน้ำอุดตัน ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำทิ้งได้
  • แอร์มีความชื้นมากเกินไป อาจเกิดจากการตั้งค่าอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป

วิธีแก้ไข:

  • ตรวจสอบท่อระบายน้ำว่ามีการอุดตันหรือไม่ หากพบปัญหาให้ทำความสะอาดหรือเรียกช่างมาตรวจสอบ
  • หากมีการตั้งค่าอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป ควรปรับให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความชื้นมากเกินไปในห้อง

3. แอร์มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

สาเหตุ:

  • ฟิลเตอร์อากาศสกปรก ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค
  • ท่อระบายน้ำอุดตัน ทำให้เกิดการหมักหมมของน้ำที่มีกลิ่น

วิธีแก้ไข:

  • ล้างฟิลเตอร์และทำความสะอาดแผงคอยล์เย็นเป็นประจำทุก 3-6 เดือน
  • ตรวจสอบท่อระบายน้ำว่ามีการอุดตันหรือไม่ และล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

4. แอร์มีเสียงดังผิดปกติ

สาเหตุ:

  • พัดลมหรือมอเตอร์อาจเสื่อมสภาพหรือสกปรก
  • มีการติดตั้งที่ไม่แน่นหนา ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อใช้งาน

วิธีแก้ไข:

  • ตรวจสอบพัดลมและมอเตอร์ หากพบปัญหาให้ทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่
  • ตรวจสอบการติดตั้ง หากมีการสั่นสะเทือน ให้ปรับตั้งใหม่หรือเรียกช่างมาดูแล

5. แอร์ทำงานแล้วตัดบ่อยหรือไม่ทำงานต่อเนื่อง

สาเหตุ:

  • การตั้งค่าคอมเพรสเซอร์ผิดพลาด หรือแอร์เกิดความร้อนเกิน
  • น้ำยาแอร์ (สารทำความเย็น) หมดหรือมีปริมาณไม่เพียงพอ

วิธีแก้ไข:

  • ตรวจสอบการตั้งค่าแอร์และระบายความร้อนของคอมเพรสเซอร์
  • หากปริมาณน้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ ให้เรียกช่างมาตรวจสอบและเติมน้ำยาให้พอเพียง

6. การใช้งานไม่ประหยัดพลังงาน

สาเหตุ:

  • การตั้งค่าอุณหภูมิที่ต่ำเกินไปทำให้แอร์ทำงานหนัก
  • การปิดเปิดแอร์บ่อยครั้งทำให้เกิดการใช้พลังงานมากขึ้น

วิธีแก้ไข:

  • ควรตั้งอุณหภูมิที่ 24-26 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานและยังคงสบาย
  • หลีกเลี่ยงการปิดเปิดแอร์บ่อยครั้ง ควรใช้แอร์ให้คงที่

7. แอร์เป่าลมร้อน

สาเหตุ:

  • คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานหรือน้ำยาแอร์หมด
  • มีการตั้งค่าโหมดเป็น “Fan” แทน “Cool”

วิธีแก้ไข:

  • ตรวจสอบการตั้งค่าการทำงานของแอร์ให้เป็นโหมดทำความเย็น (Cool)
  • หากปัญหายังอยู่ ควรเรียกช่างมาตรวจสอบคอมเพรสเซอร์และเติมน้ำยาแอร์

8. การติดตั้งไม่เหมาะสม

สาเหตุ:

  • การติดตั้งแอร์ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหรือติดตั้งใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อน

วิธีแก้ไข:

  • ติดตั้งแอร์ในที่ที่มีการระบายอากาศดีและไม่มีแสงแดดส่องโดยตรง รวมถึงไม่ควรติดตั้งแอร์ใกล้แหล่งความร้อนเพื่อให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การดูแลและตรวจสอบแอร์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นสำหรับมือใหม่ การทำความสะอาดแอร์และการตรวจสอบการทำงานจะช่วยยืดอายุการใช้งานแอร์และประหยัดพลังงานในระยะยาว

Categories
บทความ

การดูแลแอร์หลังจากโดนน้ำท่วมขั้นตอนสำคัญในการฟื้นฟูอย่างละเอียด

การดูแลแอร์หลังจากโดนน้ำท่วมขั้นตอนสำคัญในการฟื้นฟูอย่างละเอียด

น้ำท่วมไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สิน แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะแอร์ ซึ่งอาจเกิดปัญหาจากน้ำที่ซึมเข้าไปในตัวเครื่อง ส่งผลให้ระบบการทำงานเสียหายหรือเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นการดูแลและตรวจสอบแอร์หลังจากโดนน้ำท่วมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอันตรายและช่วยให้แอร์กลับมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ อย่างละเอียดเพื่อให้สามารถดูแลแอร์ได้อย่างถูกต้อง

1. ปิดเครื่องและถอดปลั๊ก

เมื่อทราบว่าน้ำท่วมเข้าสู่บริเวณที่ติดตั้งแอร์ สิ่งแรกที่ควรทำคือการปิดเครื่องแอร์ทันที และถอดปลั๊กหรือปิดเบรกเกอร์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแอร์ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อตและการรั่วไหลของไฟฟ้า นี่คือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้า

2. ตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้น

หลังจากน้ำลดลงแล้ว ควรทำการตรวจสอบสภาพของแอร์อย่างละเอียด:

  • เปิดฝาครอบของแอร์: ตรวจสอบว่ามีน้ำเข้าไปในตัวเครื่องหรือไม่ โดยเฉพาะส่วนของคอมเพรสเซอร์หรือแผงวงจรไฟฟ้า หากพบว่ามีน้ำหรือความชื้น ให้ระวังในการดำเนินการต่อ ควรรอให้อุปกรณ์แห้งสนิทก่อน
  • ตรวจสอบระบบไฟฟ้า: ดูว่าอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า สายไฟ และแผงวงจรมีความเสียหายหรือชำรุดหรือไม่ หากมีร่องรอยการชำรุด ควรหยุดใช้งานทันทีและเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ

3. ทำความสะอาดและระบายน้ำ

หลังจากทำการตรวจสอบแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำความสะอาดและกำจัดความชื้นออกจากแอร์:

  • ทำความสะอาดกรองอากาศ: ถอดกรองอากาศออกมาและล้างด้วยน้ำสะอาดหรือผสมน้ำสบู่อ่อน ๆ เพื่อขจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่สะสม หลังจากล้างเสร็จควรตากให้แห้งสนิทก่อนนำกลับไปใส่
  • ทำความสะอาดส่วนภายนอก: ใช้ผ้าสะอาดเช็ดแผงภายนอกของแอร์และพัดลม ควรระมัดระวังไม่ให้มีน้ำเข้าไปในตัวเครื่องเพิ่มเติม ระวังส่วนที่เป็นแผงวงจรไฟฟ้า และให้แห้งสนิทก่อนใช้งาน
  • ตรวจสอบสายน้ำทิ้ง: น้ำท่วมอาจทำให้สายน้ำทิ้งอุดตัน ควรตรวจสอบว่าสายน้ำทิ้งยังสามารถระบายน้ำได้ปกติหรือไม่

4. ตรวจสอบการทำงาน

หลังจากทำความสะอาดและตรวจสอบว่าแอร์แห้งสนิทแล้ว ให้เปิดแอร์และตรวจสอบการทำงาน:

  • ฟังเสียงเครื่องทำงาน หากไม่มีเสียงผิดปกติและแอร์สามารถทำความเย็นได้ตามปกติ ก็สามารถใช้งานได้ต่อไป
  • หากพบว่าแอร์ทำงานไม่ปกติ เช่น มีเสียงดัง แอร์ไม่เย็น หรือมีการตัดวงจรไฟฟ้าบ่อย ๆ ควรหยุดใช้งานและตรวจสอบเพิ่มเติม

5. เรียกช่างซ่อมแซม

หากพบความเสียหายที่ไม่สามารถจัดการได้เอง เช่น น้ำเข้าคอมเพรสเซอร์ ระบบไฟฟ้าเสียหาย หรือแผงวงจรทำงานผิดปกติ ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตรวจสอบและซ่อมแซม การพยายามซ่อมเองอาจเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและอาจทำให้เครื่องเสียหายหนักกว่าเดิม

6. ป้องกันการเกิดน้ำท่วมในอนาคต

หลังจากฟื้นฟูแอร์แล้ว ควรพิจารณาติดตั้งระบบป้องกันน้ำท่วม เพื่อป้องกันไม่ให้แอร์ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอีกในอนาคต:

  • ยกตำแหน่งแอร์ให้สูงขึ้น: หากแอร์ติดตั้งในพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดน้ำท่วมบ่อย ควรย้ายหรือยกแอร์ขึ้นสูงเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ
  • การใช้แผ่นกันน้ำ: การติดตั้งแผ่นกันน้ำหรือทำระบบป้องกันน้ำท่วมรอบตัวแอร์เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันน้ำไม่ให้เข้าสู่เครื่อง

7. การบำรุงรักษาแอร์เป็นประจำ

เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรทำการบำรุงรักษาแอร์เป็นประจำทุก 3-6 เดือน การทำความสะอาดกรองอากาศ การตรวจสอบระบบไฟฟ้า และการล้างแผงระบายความร้อนจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์และช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8. สังเกตอาการผิดปกติหลังใช้งาน

หลังจากนำแอร์กลับมาใช้งานแล้ว ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น แอร์ไม่เย็น มีเสียงดังผิดปกติ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือระบบตัดไฟบ่อย หากพบปัญหาเหล่านี้ ควรเรียกช่างมาตรวจสอบโดยเร็ว

สรุป

การดูแลแอร์หลังจากโดนน้ำท่วมเป็นกระบวนการที่ต้องใส่ใจอย่างมาก เพราะแอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความซับซ้อน การทำความสะอาด การตรวจสอบระบบไฟฟ้า และการซ่อมแซมเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม และเพื่อให้แอร์กลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย การรักษาความสะอาดและป้องกันน้ำท่วมในอนาคตจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่น้ำท่วมอีกในอนาคต

Categories
บทความ

คอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศเสีย แก้ไขอย่างไร

คอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศเสีย แก้ไขอย่างไร

เมื่อคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศเสีย นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ เนื่องจากคอมเพรสเซอร์เป็นหัวใจหลักในการทำความเย็น หากคอมเพรสเซอร์ทำงานไม่ถูกต้อง เครื่องปรับอากาศจะไม่สามารถให้ความเย็นได้เท่าที่ควร ก่อนที่จะแก้ไขปัญหา ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและวิธีการแก้ไข ดังนี้:

สาเหตุที่คอมเพรสเซอร์เสีย

  1. ไฟฟ้าลัดวงจรหรือแรงดันไฟฟ้าผิดปกติ
    • เมื่อไฟฟ้าตกหรือแรงดันไฟฟ้าผันผวนบ่อย ๆ อาจทำให้คอมเพรสเซอร์เสียหายได้
  2. การบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม
    • การไม่ดูแลทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ เช่น การล้างแผงกรองอากาศ หรือการไม่เติมน้ำยาทำความเย็น อาจทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป
  3. น้ำยาทำความเย็นรั่ว
    • น้ำยาทำความเย็นไม่เพียงพอหรือรั่วออกมา จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติและเสื่อมสภาพได้
  4. อายุการใช้งานนาน
    • คอมเพรสเซอร์ที่ใช้งานมานานหลายปีอาจเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ เนื่องจากการสึกหรอ

วิธีการตรวจสอบปัญหาคอมเพรสเซอร์

  1. ฟังเสียงการทำงาน
    • หากได้ยินเสียงดังหรือเสียงแปลก ๆ จากคอมเพรสเซอร์ แสดงว่าคอมเพรสเซอร์อาจมีปัญหา
  2. ตรวจสอบการระบายความร้อน
    • หากเครื่องปรับอากาศไม่สามารถทำความเย็นได้ดีเหมือนเดิม อาจเป็นสัญญาณว่าคอมเพรสเซอร์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
  3. ตรวจสอบแผงควบคุมไฟฟ้า
    • หากพบว่าฟิวส์หรือเบรกเกอร์ตัดบ่อย ๆ แสดงว่าอาจมีปัญหาที่เกี่ยวกับไฟฟ้า

วิธีแก้ไขคอมเพรสเซอร์ที่เสีย

  1. ตรวจสอบแหล่งจ่ายไฟฟ้า
    • ตรวจสอบว่าไฟฟ้าที่ส่งมายังคอมเพรสเซอร์มีแรงดันที่ถูกต้องหรือไม่ หากแรงดันไฟฟ้าผิดปกติ ควรปรึกษาช่างไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบและแก้ไข
  2. ทำการล้างแอร์
    • หากคอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป อาจเกิดจากการที่เครื่องปรับอากาศสกปรก ทำให้ระบบระบายความร้อนไม่ดีพอ ควรล้างเครื่องปรับอากาศเพื่อให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น
  3. เติมน้ำยาทำความเย็น
    • ตรวจสอบระดับน้ำยาทำความเย็นในระบบ หากน้ำยาทำความเย็นรั่วหรือไม่เพียงพอ ควรเติมน้ำยาหรือซ่อมรอยรั่ว
  4. เปลี่ยนคอมเพรสเซอร์
    • หากคอมเพรสเซอร์มีความเสียหายมาก เช่น เสียงดังผิดปกติ หรือไม่สามารถทำงานได้ ควรพิจารณาเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ใหม่ ซึ่งควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการ
  5. ตรวจสอบแผงควบคุมไฟฟ้า
    • หากปัญหาเกิดจากแผงควบคุมไฟฟ้าเสีย ควรให้ช่างมาตรวจสอบและเปลี่ยนส่วนที่เสียหาย

เมื่อใดที่ควรเรียกช่างมืออาชีพ

หากตรวจสอบแล้วพบว่าปัญหามีความซับซ้อน เช่น ปัญหาที่เกิดจากการเสียหายของระบบไฟฟ้า หรือการเสียของคอมเพรสเซอร์อย่างรุนแรง ควรเรียกช่างมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศ

วิธีป้องกันการเสียของคอมเพรสเซอร์

  1. ล้างแอร์เป็นประจำ
    • ควรล้างแอร์และทำความสะอาดแผงกรองอากาศอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่น
  2. ตรวจสอบระดับน้ำยาทำความเย็น
    • ตรวจเช็คและเติมน้ำยาทำความเย็นเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป
  3. ตรวจเช็คระบบไฟฟ้า
    • หลีกเลี่ยงการใช้งานในสภาวะที่ไฟฟ้าผันผวน โดยใช้เครื่องป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรหรือเบรกเกอร์ที่เหมาะสม
  4. ใช้เครื่องปรับอากาศอย่างเหมาะสม
    • ควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมและไม่ใช้งานเครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวันเพื่อลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์

สรุป

คอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทำความเย็น เมื่อคอมเพรสเซอร์เสีย อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาไฟฟ้า การดูแลรักษาที่ไม่เพียงพอ หรือการใช้งานที่นานเกินไป การตรวจสอบและซ่อมแซมคอมเพรสเซอร์ควรทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหากพบว่าเสียหายอย่างรุนแรง

Categories
บทความ

6 ข้อควรรู้เกี่ยวกับห้องคลีนรูม (Clean Room) ในโรงงานอุตสาหกรรม

6 ข้อควรรู้เกี่ยวกับห้องคลีนรูม (Clean Room) ในโรงงานอุตสาหกรรม

6 ข้อควรรู้เกี่ยวกับห้องคลีนรูม (Clean Room) ในโรงงานอุตสาหกรรม

ห้องคลีนรูม (Clean Room)เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานในความสะอาดระดับสูง ปลอดทั้งเชื้อโรคและฝุ่น จึงมีหลายๆอุตสาหกรรมที่ต้องมีการใช้ห้องคลีนรูมในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารและยา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ โรงงานผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับด้านความสะอาดในระดับปลอดเชื้อ จึงมั่นใจได้ว่าผลผลิตที่ได้จะมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน ดังนั้นหากท่านมีความสนใจในอุตสาหกรรมเหล่านี้หรือมีความสนใจที่จะทำห้องคลีนรูมในการผลิต สามารถตามไปทำความรู้จักกับห้องคลีนรูม (Clean Room)เอาไว้ในเบื้องต้นในบทความนี้ได้เลยค่ะกับ 6 ข้อควรรู้เกี่ยวกับห้องคลีนรูม (Clean Room)ในโรงงานอุตสาหกรรม


6 ข้อควรรู้เกี่ยวกับห้องคลีนรูม (Clean Room)ในโรงงานอุตสาหกรรม


1. ห้องคลีนรูม (Clean Room)โรงงาน คืออะไร?

ห้องคลีนรูม คือห้องปลอดเชื้อที่มีการควบคุมปริมาณอนุภาคของฝุ่นละอองไม่ให้เกินกำหนด ทั้งยังควบคุมสิ่งปนเปื้อนภายในห้องนั้น และมีการควบคุมปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่ออนุภาคของฝุ่น ได้แก่ ความเร็วลม อุณหภูมิ ความดัน ความชื้น ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณฝุ่นละอองที่พดผ่านเข้ามาในห้อง และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เชื้อโรค และอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งปนเปื้อน ที่ทำให้ไม่สะอาด โดยห้องคลืนรูมโรงงานจำเป็นสำหรับหลายๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอาง โรงงานผลิตอาหาร โรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือโรงงานผลิตอาหารเสริม ก็ล้วนต้องใช้งานห้องคลีนรูม (Clean Room)ค่ะ

2. คุณสมบัติจำเพาะของห้องคลีนรูม (Clean Room)โรงงาน มีอะไรบ้าง?

ทั้งนี้สำหรับห้องคลีนรูม (Clean Room)ก็มีคุณสมบัติจำเพาะที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อแยกแยะประเภทของห้องที่ว่าให้แตกต่างกว่าห้องในโรงงานทั่วๆ ไปมีดังนี้ค่ะ
อุณหภูมิที่เหมาะสมกับห้องคลีนรูม มักถูกกำหนดอยู่ในช่วง 72 oF (22.2 oC) ± 0.25 oF (0.14 oC) โดยอุณหภูมิ เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องควบคุมภายในห้องคลีนรูม เพราะอุณหภูมิมีความเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ทั้งนี้จะมีการกำหนดตามความต้องการของกระบวนการผลิต
ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 50 ± 10 % มีส่วนในเรื่องของผลิตภัณฑ์ หากความชื้นภายในห้องไม่เหมาะสม อาจทำให้ผลผลิตเสียหายได้ เพราะผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจมีวัสดุที่ดูดความชื้นได้ง่าย หากความชื้นสูงเกินไป ก็อาจทำให้เกิดสนิมหรือความเสียหายบางอย่างขึ้น
ความดันเป็นบวกเสมอ ห้องที่มีระดับความสะอาดต่างกัน กำหนดให้มีความดันต่างกันอย่างน้อย 0.05นิ้วน้ำ
แสงสว่าง 1,080 – 1,620 lux (กรณีที่ไม่มีการกำหนดพิเศษ)

3.ชนิดของห้องคลีนรูม (Clean Room)โรงงาน

สามารถแบ่งชนิดของห้องคลีนรูมตามการไหลเวียนของอากาศได้ ดังนี้

1. Conventional Clean Room ระดับความสะอาดของห้องคลีนรูมประเภทนี้จะอยู่ที่ประมาณ Class 1,000 – 10,000 มีการไหลเวียนของอากาศเหมือนระบบปรับอากาศที่ใช้ทั่วไป โดยจะใช้ HEPA filter แต่มีจำนวนครั้งในการเปลี่ยนถ่ายอากาศที่มากกว่า ช่วยให้ความสกปรกภายในห้องลดลง
2. Horizontal Larminar Clean Room ระดับความสะอาดของห้องคลีนรูมประเภทนี้จะอยู่ที่ประมาณ Class 100 มีการใช้ลมที่มีความเร็วคงที่ไหลผ่าน HEPA filter โดยจะมีการติดตั้งเครื่องนี้อยู่เต็มพื้นที่ของผนังด้านใดด้านหนึ่งของห้อง ปล่อยให้อากาศที่ผ่านเข้าสู่ห้องที่สะอาด ถูกดูดกลับขึ้นไปที่ด้านบนของเพดานและย้อนกลับไปสู่เครื่องเป่าลม มักใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ห้อง Lab ชีววิทยา ฯลฯ
3. Vertical Laminar Flow Clean Room ห้องคลีนรูมชนิดนี้มีระดับความสะอาดของห้องอยู่ที่ประมาณ Class 100 โดยจะมีการติดตั้ง HEPA filter เอาไว้เต็มเพดาน และอากาศจะไหลผ่านจากเพดาน ผ่าน HEPA filter ในแนวดิ่ง แล้วไปผ่านพื้นที่ภายในห้องทำให้โปร่งและไหลกลับสู่เครื่องเป่าลมเย็น เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็คทรอส์นิกส์โดยเฉพาะ
4.ชนิดของห้องคลีนรูม (Clean Room)โรงงาน ตามการใช้งาน

สามารถแบ่งชนิดของห้องคลีนรูมตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้


1. Industrial Clean Room เป็นห้องสะอาดที่ใช้งานกับ

• อุตสาหกรรมสารเคมีต่างๆ
• อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ Microchip
• อุตสาหกรรมการผลิตสี
• อุตสาหกรรมการผลิตฟิล์ม

2. Biological Clean Room 

เป็นห้องสะอาดที่มีการควบคุมปริมาณเชื้อแบคทีเรีย และมีการกำหนดความดันภายในห้องให้สูงกว่าความดันของห้องข้างเคียง เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกจากห้องข้างเคียงไหลเข้าห้องคลีนรูม ใช้งานกับ
• ห้องปฏิบัติการด้านชีววิทยา
• อุตสาหกรรมการผลิตยา
• ห้องผ่าตัด

3. Biohazard Clean Room 

เป็นห้องสะอาดที่ใช้งานกับห้องปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสและสารซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีการกำหนดให้ความดันภายในห้องต่ำกว่าห้องข้างเคียง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและสารต่างๆ ไปยังภายนอก
5.ใช้อะไรบ้างในการควบคุมเพื่อรักษามาตรฐานของห้อง Clean Room โรงงาน
1. ใช้การควบคุมระดับความดันในห้องให้สูงกว่าความดันนอกห้อง (positive pressure = ความดันเป็นบวก)
2. มีการติดตั้งเครื่อง HEPA filter เพื่อกรองสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าห้องคลีนรูมโรงงาน
3. คนทำงานในห้องคลีนรูมจะต้องล้างตัวด้วยอากาศ (air washer) ก่อนเข้าห้องเสมอ
4. คนทำงานภายในห้องคลีนรูมจะต้องสวมชุดพิเศษทุกคน
5. การเคลื่อนไหวของคนทำงานภายในห้องนี้จะต้องดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
6. ควรหมุนเวียนอากาศบางส่วนภายในห้องออกสู่ภายนอก เพื่อช่วยลดสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้น
7. ผนังและพื้นห้องต้องไม่สะสมฝุ่นและทำความสะอาดได้ง่าย
8. วัสดุที่ใช้ภายในห้อง จะต้องไม่ทำให้เกิดความสกปรก
9. ควรมีการป้องกันมิดชิด หรือมีการดูดอากาศทิ้งตามบริเวณต่างๆ ภายในห้องคลีนรูม ณ จุดที่มีอนุภาค ซึ่งจะก่อให้เกิดความสกปรก
10. การทำความสะอาดภายในห้องคลีนรูมต้องทำตามมาตรฐานกำหนดอย่างเคร่งครัด

6.จัดแบ่ง Class ของ Clean Room อย่างไร?

1. Class 100 หมายถึง ห้องที่มีอนุภาคขนาด 0.5 ไมครอนหรือใหญ่กว่า ไม่เกิน 100 อนุภาคต่ออากาศหนึ่งลูกบาศก์ฟุต
2. Class 1,000 หมายถึง ห้องที่มีอนุภาคขนาด 0.5 ไมครอนหรือใหญ่กว่า ไม่เกิน 1,000 อนุภาคต่ออากาศหนึ่งลูกบาศก์ฟุต
3. Class 10,000 หมายถึง ห้องที่มีอนุภาคขนาด 0.5 ไมครอนหรือใหญ่กว่า ไม่เกิน 10,000 อนุภาคต่ออากาศหนึ่งลูกบาศก์ฟุต
โดยสรุปแล้วห้องคลีนรูมโรงงาน มีความสำคัญกับหลายๆ ภาคอุตสาหกรรมหรือหลายประเภทของโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอาง โรงงานผลิตอาหาร โรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือโรงงานผลิตเวชภัณฑ์และโรงงานผลิตอาหารเสริม เพื่อผลผลิตที่ตรงตามมาตรฐานกำหนดในเรื่องของคุณภาพ ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ยังเกี่ยวข้องกับการรักษาคุณภาพสินค้า ลดความเสื่อมที่อาจเกิดขึ้นหรือทำให้สินค้าเกิดความเสียหาย แอดมินหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้สนใจเกี่ยวกับห้องคลีนรูม (Clean Room) ในโรงงานอุตสาหกรรมไม่มากก็น้อยนะคะ
บางกอก คูล รับออกแบบและติดตั้งระบบปรับอากาศสำหรับห้องคลีนรูม พร้อมระบบควบคุมอัติโนมัติและระบบ IOT ที่จะช่วยให้โรงงานของลูกค้าประหยัดพลังงานและแรงงานคน

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 091-961-4415
EMAIL : BANGKOK_COOl@HOTMAIL.COM

Categories
บทความ

แอร์โรงงานใช้ไฟจากแผงโซล่าเซลล์ได้รึป่าว

แอร์โรงงานใช้ไฟจากแผงโซล่าเซลล์ได้รึป่าว

แอร์โรงงานหรือแอร์ขนาดใหญ่สามารถใช้ไฟจากแผงโซล่าเซลล์ได้ แต่ต้องมีการออกแบบและจัดการระบบให้เหมาะสม เนื่องจากแอร์โดยทั่วไปมีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งหมายความว่าต้องมีการคำนวณกำลังไฟที่ต้องการและการจัดการการใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์อย่างรอบคอบ

ข้อควรพิจารณาในการใช้แผงโซล่าเซลล์กับแอร์โรงงาน

  1. คำนวณการใช้พลังงานของแอร์

    • แอร์ขนาดใหญ่ในโรงงานใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก การเลือกแผงโซล่าเซลล์จึงต้องสอดคล้องกับกำลังไฟที่แอร์ต้องการ โดยทั่วไปการใช้ไฟฟ้าของแอร์จะวัดเป็นหน่วย BTU และ วัตต์ (Watt) ดังนั้นต้องคำนวณกำลังไฟที่ต้องการสำหรับการใช้งานแอร์ตลอดทั้งวัน
  2. การออกแบบระบบโซล่าเซลล์

    • ระบบโซล่าเซลล์จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะผลิตพลังงานเพียงพอสำหรับการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาทำงานของแอร์ ซึ่งต้องใช้แผงโซล่าเซลล์จำนวนมากและต้องมีพื้นที่เพียงพอในการติดตั้ง
    • นอกจากนี้ยังต้องมี อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ที่เปลี่ยนพลังงานจากแผงโซล่าเซลล์ (DC) ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับการใช้งานแอร์ (AC) ได้อย่างเหมาะสม
  3. ระบบแบตเตอรี่เก็บพลังงาน

    • แผงโซล่าเซลล์ทำงานได้ดีในเวลากลางวันที่มีแสงแดดเพียงพอ แต่หากต้องการใช้งานแอร์ในเวลากลางคืนหรือช่วงที่ไม่มีแสงแดด จะต้องมี แบตเตอรี่เก็บพลังงาน เพื่อสำรองไฟฟ้าสำหรับใช้งานในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ
    • แบตเตอรี่ควรมีขนาดใหญ่พอที่จะเก็บพลังงานได้เพียงพอสำหรับการใช้งานแอร์ในระยะเวลานาน
  4. ความคุ้มค่า

    • การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์สำหรับแอร์โรงงานต้องใช้เงินลงทุนสูงเนื่องจากความต้องการพลังงานสูงมาก ควรทำการคำนวณทั้งต้นทุนการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และระยะเวลาที่จะคืนทุนจากการประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว
  5. การเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าหลัก

    • หากการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลล์ไม่เพียงพอในบางช่วงเวลา เช่น ในวันที่มีเมฆมาก อาจจำเป็นต้องเชื่อมต่อระบบกับไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเพื่อให้มีพลังงานเสริมในช่วงเวลาที่แผงโซล่าเซลล์ไม่สามารถผลิตพลังงานได้เพียงพอ

สรุป

แอร์โรงงานสามารถใช้ไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลล์ได้ แต่ต้องออกแบบระบบให้เหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการพลังงานของแอร์ ซึ่งรวมถึงการคำนวณกำลังไฟฟ้าที่ต้องการ จำนวนแผงโซล่าเซลล์ และการติดตั้งแบตเตอรี่เก็บพลังงาน หากทำอย่างถูกต้อง ระบบโซล่าเซลล์จะช่วยลดค่าไฟฟ้าและเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนในการใช้พลังงา

Categories
บทความ

พัดลมฟาร์มควรทำความสะอาดกี่เดือนครั้ง

พัดลมฟาร์มควรทำความสะอาดกี่เดือนครั้ง

พัดลมฟาร์ม

เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในฟาร์มสำหรับการระบายอากาศและรักษาความเย็นให้กับสัตว์หรือพืช โดยการทำงานของพัดลมฟาร์มในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกมาก อาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกได้รวดเร็ว ดังนั้น การทำความสะอาดพัดลมฟาร์มจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงานและยืดอายุการใช้งาน

คำแนะนำในการทำความสะอาดพัดลมฟาร์ม

ควรทำความสะอาดพัดลมฟาร์มทุกๆ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของฟาร์มและการใช้งาน:

  • ฟาร์มที่มีฝุ่นเยอะ: เช่น ฟาร์มไก่ ฟาร์มสุกร หรือฟาร์มที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองสูง ควรทำความสะอาดทุกๆ 3 เดือน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นที่อาจทำให้พัดลมทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
  • ฟาร์มที่สภาพแวดล้อมสะอาดกว่า: ฟาร์มที่มีฝุ่นน้อยหรือฟาร์มที่ไม่ค่อยมีสิ่งสกปรกสามารถทำความสะอาดทุกๆ 6 เดือน ก็เพียงพอ

ขั้นตอนการทำความสะอาดพัดลมฟาร์ม

  1. ปิดพัดลมและแหล่งจ่ายไฟ: เพื่อความปลอดภัยในการทำความสะอาด
  2. ถอดฝาครอบหรือกรงพัดลม: เพื่อให้สามารถทำความสะอาดใบพัดและฝาครอบได้สะดวก
  3. เช็ดทำความสะอาดใบพัด: ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือแปรงขัดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดใบพัดที่มีฝุ่นสะสม
  4. ทำความสะอาดกรงหรือตาข่าย: ใช้น้ำหรือแปรงทำความสะอาดเพื่อขจัดฝุ่นละออง
  5. ตรวจสอบการทำงานของพัดลม: หลังจากทำความสะอาดแล้ว ตรวจสอบการทำงานของพัดลมว่าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่

การดูแลรักษาและทำความสะอาดพัดลมฟาร์มเป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานของพัดลม และช่วยให้การระบายอากาศในฟาร์มมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

Categories
บทความ

พัดลมระบายอากาศโรงงานมีกี่ประเภท

พัดลมระบายอากาศโรงงานมีกี่ประเภท

ภายในโรงงานอุตสาหกรรม หรือโกดังขนาดใหญ่ ย่อมเป็นแหล่งที่ผลิตมลพิษ และเป็นพื้นที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้สารอันตรายรั่วไหลออกสู่ภายนอก การติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดี เช่น พัดลมระบายอากาศโรงงาน จึงสามารถช่วยให้สภาพแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงานนั้นเหมาะสมกับการทำงานมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาวของพนักงาน พร้อมช่วยเพิ่มคุณภาพของสินค้า และผลิตภัณฑ์บางชนิดด้วยเช่นกัน

ดังนั้นสำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับพัดลมระบายอากาศในโรงงาน วันนี้ BANGKOK COOL ของเรา ได้นำพัดลมประเภทต่างๆ ที่ได้รับความนิยม และเหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ที่มีฟังก์ชันแตกต่างกันมาฝากทุกท่าน ส่วนรายละเอียดจะมีอะไรบ้าง ติดตามต่อในบทความกันได้เลย

พื้นที่โรงงาน มีผลต่อการติดตั้งการระบายอากาศอย่างไร

เนื่องจากขนาดความกว้างของพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม มักมีพื้นที่ขนาดใหญ่ พัดลมที่ใช้จึงต้องมีวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานสูง
หรับความสามารถ และการทำงานของพัดลมระบายอากาศสำหรับโรงงานนั้น ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับพัดลมทั่วไปอยู่มาก แต่มีข้อแตกต่างกันอยู่ที่ขนาด และวัสดุที่ใช้ เนื่องจากขนาดความกว้างของพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม มักมีพื้นที่ขนาดใหญ่ พัดลมที่ใช้จึงต้องใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานสูง สามารถใช้งานได้ยาวนานโดยมีค่าบำรุงรักษาต่ำ

อย่างไรก็ตามนอกจากคำนวณเรื่องขนาดพื้นที่แล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องนำมาใช้คำนวณร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ข้อจำกัดของโครงสร้างของโรงงาน ตำแหน่งการวางเครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิต ความหนาแน่นของปริมาณสินค้า ตลอดไปจนถึงตำแหน่งการวางพัดลม ซึ่งทั้งหมดนี้หากนำมาคำนวณ และติดตั้งพัดลมได้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาวอีกด้วย

โดยความสำคัญนอกจากการระบายอากาศแล้ว พัดลมอุตสาหกรรมยังสามารถช่วยในเรื่องของ
การระบายกลิ่นไม่พึงประสงค์ – การผลิตสามารถก่อให้เกิดมลพิษต่างๆ ซึ่งอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และสามารถทำให้พนักงานป่วย หรือไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ
ระบายความร้อนสะสม – หากมีความร้อนสะสมภายในอาคาร ย่อมส่งผลเสียต่อความทนทานของเครื่องจักร คุณภาพสินค้า และความเป็นอยู่ของพนักงานได้โดยตรง
กำจัดมลพิษออก – สำหรับโรงงานที่มีการก่อมลพิษในการผลิตในปริมาณน้อย อาจใช้พัดลมในการระบายสารพิษเหล่านี้ออก เพื่อไม่ให้สะสมอยู่ในอากาศในพื้นที่มากเกินไป
ลดต้นทุน – การระบายอากาศยังส่งผลต่อเนื่องไปยังค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ลดค่าพลังงานในการปรับอากาศ ลดค่ารักษาพยาบาลของพนักงานที่ป่วยจากสภาพแวดล้อม และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุจากสารตกค้างภายในพื้นที่

พัดลมระบายอากาศโรงงานมีกี่ประเภท

1.พัดลมยักษ์

3.EVAP

2.พัดลมฟาร์ม

4.พัดลมอุตสาหกรรม

นอกจากพัดลมอุตสาหกรรมที่นิยมใช้กัน ยังมีอุปกรณ์ระบายอากาศอื่นๆ ที่เข้ากันได้ดีกับโรงงานอุตสาหกรรมในประเภทที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมี

พัดลมยักษ์ – เป็นพัดลมที่มีใบพัดขนาดใหญ่ ติดตั้งอยู่บริเวณด้านบนเพดาน โดยใช้หลักการเดียวกับใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งสามารถสร้างมวลอากาศมหาศาลลงสู่พื้นด้านล่างได้ โดยลมที่ได้จะให้ความรู้สึกเย็นสบายคล้ายลมธรรมชาติมาก ช่วยลดอุณหภูมิได้มากถึง 5-8 องศาเซลเซียส

พัดลมฟาร์ม – เป็นพัดลมระบายอากาศแบบติดผนัง มีขนาดใหญ่ ทำมาจากวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง จึงใช้งานได้ยาวนานทนทาน และมีประสิทธิภาพดี บางรุ่นสามารถ เปิด-ปิด ได้อัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

EVAP – เป็นระบบสร้างความเย็นด้วยน้ำ โดยอาศัยหลักการนำพาความร้อนผ่านตัวกลางคือ ไอน้ำ และมวลอากาศ มีทั้งรุ่นที่ติดตั้งประจำจุด และรุ่นแบบเคลื่อนที่ สามารถลดอุณหภูมิให้เย็นลงได้ถึง 10 องศาเซลเซียส

พัดลมอุตสาหกรรม – เป็นพัดลมทั่วไปที่มีความแข็งแรงทนทาน และมีขนาดให้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ สามารถติดตั้งประจำจุดต่างๆ ที่ต้องการให้มีกระแสลม หรืออากาศไหลเวียนสะดวกได้ดี นอกจากนี้ยังเหมาะสมกับการนำไปใช้ในงานอีเวนต์ต่างๆ ตลอดไปจนถึงสภาพพื้นที่แบบเปิดโล่งได้ด้วยเช่นเดียวกัน 

พัดลมระบายอากาศโรงงาน แบบไหน เหมาะสมกับโรงงานของเรา

ก่อนที่จะติดตั้งระบบระบายอากาศ และเลือกติดตั้งอุปกรณ์ระบายอากาศชนิดต่างๆ วันนี้ BANG KOK COOl ได้นำปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางระบบระบายอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ มาให้ทุกท่านได้เตรียมตัว และศึกษาแผนการอย่างละเอียด ก่อนการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้ระบบที่มีคุณภาพมากที่สุด

การวางแผนโครงสร้าง – สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการติดตั้งระบบระบายอากาศ จำเป็นต้องเข้าใจหลักการไหลเวียนของอากาศ และสภาพโครงสร้างของอาคารก่อน เพื่อวางแผนในการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด

การควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น – อุณหภูมิ และความชื้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อความรู้สึกขณะทำงานของพนักงาน โดยเฉพาะกับสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่มีความไวต่อค่าเหล่านี้ การทำระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยเพิ่มคุณภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

การตรวจสอบ และบำรุงรักษา – เมื่อติดตั้งระบบระบายอากาศแล้ว จำเป็นต้องจัดตาราง หรือมีการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ โดยอุปกรณ์แต่ละชิ้น แต่ละประเภท ก็จะมีอายุการใช้งาน รวมถึงกำหนดการบำรุงรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งหากไม่ใส่ใจในจุดนี้ อาจทำให้ระบบระบายอากาศทำงานไม่เต็มที่ และเกิดปัญหาขึ้นได้ในภายหลัง

เพิ่มกฎระเบียบการใช้งาน – สำหรับอุปกรณ์บางประเภท ที่อาจมีการใช้พลังงานมาก หรือมีข้อจำกัดในการใช้งาน การเทรนพนักงานเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการทำงานมากยิ่งขึ้น

สรุปได้ว่า การติดตั้งพัดลมระบายอากาศนั้น นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากส่งผลกับปัจจัยหลากหลายด้าน และช่วยยกระดับมาตรฐานของโรงงานให้สูงขึ้น ตลอดไปจนถึงช่วยเพิ่มความพึงใจของเหล่าพนักงานที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่ให้ดีขึ้นได้เช่นกัน

BANGKOK COOL รับออกแบบ และติดตั้ง พัดลมระบายอากาศโรงงาน

หากคุณมองหา บริการติดตั้ง ระบบ Ventilation ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือโกดังเก็บสินค้าทุกขนาด เราขอแนะนำ BANGKOk COOL  ผู้ดำเนินธุรกิจชั้นนำด้านการจัดจำหน่าย ออกแบบ และ ติดตั้งสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ ระบบกำจัดฝุ่น และ ระบบระบายอากาศ โดยมีประเภทการติดตั้ง ให้เลือกสรรมากมาย เพื่อความเหมาะสมกับพื้นที่ และการใช้งานกับโรงงานอุตสาหกรรมในทุกรูปแบบ อาทิ เช่น

พัดลมยักษ์ มีบริการตรวจสอบโครงสร้างอาคาร ก่อนการติดตั้ง พร้อมกับวิธีการติดตั้งที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ทำให้ปลอดภัยกับผู้ใช้งาน

พัดลมอุตสาหกรรม มีหลายรูปแบบ สามารถนำไปใช้ได้ตามความเหมาะสมของงาน เช่น พัดลมฟาร์ม, พัดลมใบดำ, พัดลมถังกลม และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ได้รับมาตรฐาน มอก.

พัดลมไอน้ำ มีคุณภาพได้รับมาตรฐาน มอก. เช่นกัน สามารถเคลื่อนย้ายพัดลมได้สะดวก มีถังน้ำภายในตัว และใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

พัดลมอีแวป มีหัวจ่ายลมให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม เช่น ด้านข้าง, ด้านล่าง และด้านบน โดยมีทีมงานที่ช่วยออกแบบท่อให้กระจายลมได้ตามที่ต้องการ

เครื่องดูดควันเชื่อม มีหลายประเภทให้เลือกใช้ เพื่อความเหมาะสมของพื้นที่หน้างาน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดูดควันเชื่อมแบบประจำที่, เครื่องดูดควันเชื่อมแบบเคลื่อนที่ และ เครื่องดูดละอองน้ำมัน

โดยเรามีบริการตรวจสอบพื้นที่หน้างานโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การติดตั้งถูกต้องตามมาตรฐาน ปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด หากเกิดปัญหาในการใช้งาน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถซ่อมได้ เพราะเรามีอะไหล่เตรียมพร้อมสำรองให้ทุกชิ้น ทำให้คุณสามารถใช้งาน ระบบ Ventilation หรือระบบกำจัดฝุ่น ได้สมบูรณ์ตลอดเวลา

หากต้องการติดต่อสอบถามข้อมูลของสินค้าและบริการ สามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่นี่

Facebook : Bangkok cool ออกแบบ ติดตั้งระบบปรับอากาศ ระบายอากาศ เพื่อการประหยัดพลังงาน 

E-mail: BANGKOK_COOL@HOTMAIL.COM

Tel: 0844033546