Categories
บทความ

13 วิธีประหยัดแอร์ แต่บ้านยังเย็นสบายไม่เปลี่ยน

13 วิธีประหยัดแอร์ แต่บ้านยังเย็นสบายไม่เปลี่ยน

การเปิดแอร์นาน ๆ ทำให้ค่าไฟยิ่งพุ่งกระฉูด แต่ถ้าไม่เปิดบ้านก็คงจะร้อนจนอยู่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมาดูวิธีประหยัดไฟ โดยการลดการใช้แอร์แต่อากาศภายในบ้านก็ยังเย็นสบายไปพร้อม ๆ กันค่ะ 

        หน้าร้อนทีไรเหงื่อแตกทุกที โดยเฉพาะตอนบิลค่าไฟมาสิ้นเดือน เพราะแพงกว่าค่าไฟปกติหลายพันนัก แต่ถ้าไม่เปิดแอร์ก็คงอยู่ไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้นในวันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอนำ 13 วิธีลดใช้แอร์ในหน้าร้อน แต่อากาศภายในบ้านยังเย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ตามปกติมาฝากกัน เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน ประหยัดไฟ และหมดกังวลเรื่องค่าไฟที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนเสียที
 

1. มีฉลากไฟเบอร์ 5

 
          เพราะนอกจากจะเป็นแอร์ที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานของ กฟผ. แล้ว บนฉลากยังบอกค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปี อีกทั้งยังมีจำนวนดาวบอกระดับการประหยัดพลังงาน หากจะให้ดีควรดูที่ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) หรือค่าวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดู ควบคู่กันไปด้วย เพราะยิ่งมีมากก็จะช่วยประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่งนั่นเอง

2. ล้างแอร์

 
ประหยัดแอร์หน้าร้อน
 
           เมื่อผ่านการใช้งานไปนาน ๆ แม้จะลดอุณหภูมิแอร์แล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกเย็น นั่นเป็นเพราะว่ามีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมในแอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ เลยทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและกินไฟมากขึ้น ซึ่งสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการถอดแผ่นกรองหยาบออกมาทำความสะอาด อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพียงเท่านี้ก็ทำให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปล่อยลมเย็นได้เหมือนเดิมแล้ว

3. เพิ่มอุณหภูมิแอร์ตอนกลางคืน

 
          เพราะตอนกลางคืนเป็นช่วงที่ไม่มีแสงแดด ฉะนั้นอากาศก็จะร้อนน้อยกว่าช่วงกลางวันระดับหนึ่ง การปรับอุณหภูมิแอร์เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ในช่วงที่คุณนอนหลับหรือก่อนเข้านอนสัก 1-2 ชั่วโมง ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 10% เลยทีเดียว หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือ เลือกใช้ Sleep Mode แอร์จะปรับอุณหภูมิขึ้น 1-2 องศาเซลเซียสอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้นอนหลับสบายและช่วยประหยัดไฟไปพร้อมกัน 
 

4. เปิดพัดลมพร้อมกับเปิดแอร์ 

 
          อีกหนึ่งทริกการประหยัดแอร์หน้าร้อนก็คือ เปิดพัดลมไล่ความร้อนในห้องก่อนเปิดแอร์สักพัก แล้วค่อยเปิดพัดลมพร้อมกับเปิดแอร์ โดยการเพิ่มอุณหภูมิแอร์ไปที่ 26-28 องศาเซลเซียส ก็จะช่วยลดอุณหภูมิลงมาได้อีก 2-3 องศาเซลเซียส คราวนี้อากาศในบ้านก็จะเย็นสบายกำลังดีแถมไม่เปลืองไฟอีกต่างหาก    
 

5. ควบคุมชั่วโมงการเปิดแอร์

 
ประหยัดแอร์หน้าร้อน
 
          ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเสียขนาดนี้ ปิดแอร์แป๊บเดียวก็กลับมาร้อนเหมือนเดิมแน่ ๆ ดังนั้นคงเป็นไปได้ยากถ้าหากจะให้ควบคุมชั่วโมงเปิดแอร์ตอนกลางวัน ฉะนั้นหากอยากประหยัดค่าไฟแนะนำให้ใช้วิธีนี้ตอนกลางคืน โดยตั้งเวลาปิดแอร์ช่วงตี 2 หรือตี 3 ส่วนก่อนนอนให้เปิดพัดลมทิ้งไว้ด้วย จะได้ไม่ตื่นกลางดึกเพราะต้องลุกขึ้นมาปิดแอร์ 
 

6. ปิดแอร์ก่อนออกจากห้อง 

 
          ส่วนใหญ่อาจจะเคยชินกับการปิดแอร์ก่อนออกจากห้อง จากนี้ลองเปลี่ยนมาเป็นปิดแอร์ก่อนออกจากห้องประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย ๆ สัก 10 นาที ซึ่งระหว่างนี้ก็ยังสามารถอยู่ในห้องต่อได้อย่างสบาย เพราะยังมีไอความเย็นหลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังช่วยประหยัดไฟได้อีกต่างหาก 

7. ปิดไฟแล้วเปิดม่านแทน

 
          นอกจากแสงแดดที่ทำให้เกิดความร้อนในบ้านแล้ว แสงไฟจากหลอดไฟก็มีส่วนที่ทำให้บ้านร้อนเหมือนกัน อีกทั้งยังทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นด้วย ฉะนั้นตอนกลางวันแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเปิดไฟ แล้วเปลี่ยนไปเปิดหน้าต่างหรือเปิดแค่ผ้าม่านแทน เพื่อให้บ้านสว่างขึ้นแต่ร้อนน้อยลง 
 

8. ใช้เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่

 
 
ประหยัดแอร์หน้าร้อน
 
          เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่จะทำความเย็นเฉพาะจุดหรือพื้นที่ที่ต้องการ ซึ่งจะต่างจากแอร์ตัวใหญ่ที่มีระบบการทำงานแบบกระจายความเย็นทั้งห้อง ทั้งยังใช้ไฟน้อยกว่าแอร์ถึง 50% เลยนะจะบอกให้ หรือใช้พัดลมไอเย็นมาช่วยดับร้อน ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

9. ไม่นำความชื้นเข้าห้อง

 
          แอร์ใช้พลังงานในการทำความเย็น 30% และอีก 70% เป็นพลังงานสำหรับจำกัดความชื้น ทำให้อากาศในห้องแห้ง ฉะนั้นควรเลี่ยงนำสิ่งของที่มีความชื้นเข้าห้อง เช่น ต้นไม้ หรือผ้าเปียก เป็นต้น
 

10. ไม่นำของร้อนเข้าห้อง

 
          อุปกรณ์หรือเครื่องครัวต่าง ๆ ที่ทำความร้อน เช่น กระทะไฟฟ้า หม้อต้มสุกี้ ไม่ควรนำมาประกอบอาหารในห้องแอร์ เพราะความร้อนในห้องนั้น ๆ จะสูงขึ้นและทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น ฉะนั้นจึงควรประกอบอาหารให้เสร็จในครัวหรือพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้เปิดแอร์ดีกว่า 
 

11. ปิดประตูและหน้าต่างให้สนิท

 
          ก่อนจะเปิดแอร์ควรปิดประตูและหน้าต่างในห้องให้สนิท แต่ถ้ามั่นใจว่าปิดดีแล้ว แต่ยังรู้สึกสงสัยว่าทำไมค่าไฟยังแพงอยู่ นั่นอาจเป็นเพราะว่ามีจุดรั่วไหลของแอร์ตามช่องใต้ประตูหรือซอกหน้าต่าง ฉะนั้นควรรีบสำรวจแล้วจัดการปิดรอยรั่วเหล่านั้นซะให้เรียบร้อย 

12. ปลูกต้นไม้ 

 
          หากบริเวณบ้านยังมีที่ว่างเหลือ ๆ ลองหาต้นไม้ให้ร่มเงามาปลูกดู เพราะรู้หรือไม่ว่าการปลูกต้นไม้สามารถช่วยลดอุณหภูมิรอบ ๆ ได้ถึง 2-4 องศาเซลเซียส แถมยังช่วยลดการใช้พลังงานจากแอร์ได้ 10-15% โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ใหญ่สามารถให้ความเย็นเท่าเครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU เลยทีเดียว

13. ตั้งคอมเพรสเซอร์ในที่ร่ม 

 
          จริง ๆ แล้วตำแหน่งวางคอมเพรสเซอร์ก็มีผลกับการใช้พลังงานเหมือนกัน หากเป็นไปได้ควรติดตั้งไว้ในที่ร่ม และมีอากาศถ่ายเทสะดวก ก็จะช่วยให้สามารถประหยัดไฟฟ้าเพิ่มได้อีก 15-20% เลยทีเดียว เรียกว่าบิลมาก็ไม่ต้องตกใจค่าไฟตอนสิ้นเดือนอีกต่อไป 
 
          ต่อให้หน้าร้อนจะร้อนอบอ้าวแค่ไหน แต่เราก็สามารถประหยัดค่าไฟได้ด้วยวิธีลดค่าแอร์ช่วงหน้าร้อนเหล่านี้ วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยลดปริมาณการใช้แอร์ แต่ภายในบ้านยังคงเย็นสบายน่าอยู่เหมือนเดิม
Categories
บทความ

4 ทริคดีๆ ในการเปิดพัดลมพร้อมแอร์

4 ทริคดีๆ ในการเปิดพัดลมพร้อมแอร์

ใครที่กำลังมองหาวิธีประหยัดไฟ เพื่อให้ยังคงเปิดแอร์และพัดลมให้เย็นฉ่ำได้เหมือนเดิม วันนี้เรามี 4 ทริคดีๆ ในการเปิดพัดลมพร้อมแอร์มาฝากในช่วงหน้าร้อนแบบนี้

 จากกรณีที่กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไป วันนี้ ( 29 มี.ค. 66 ) พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ในภาคเหนือและภาคกลาง

ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน 

 ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางแห่ง จึงขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

เมื่ออากาศร้อนและยังคงร้อนต่อเนื่องไปแบบนี้จะไม่เปิดแอร์ก็คงเหงื่อท่วม แต่ถ้าเปิดแอร์ทั้งวันก็สิ้นเปลืองเกินไป เพราะบิลค่าไฟคงพุ่งกระฉูด วันนี้มีเทคนิคเปิดพัดลมพร้อมแอร์ เย็นจัดแถมประหยัดไฟ ใช้ได้จริง

เปิดพัดลมพร้อมแอร์ถึงเย็นกว่าเพราะอะไร?

 หลายคนคงเคยได้ยินที่ว่าให้เปิดพัดลมพร้อมแอร์แล้วห้องจะเย็นกว่า แล้วเคยสงสัยไหมว่าทำไม? ที่จริงแล้วการที่เรารู้สึกเย็นสบายในห้อง มีปัจจัยหลักด้วยกัน 3 ข้อ คือ

• ปัจจัยที่ 1 อุณหภูมิของอากาศ (Temperature) ตัวบ่งบอกระดับความร้อนหรือเย็น มักวัดออกมาเป็นตัวเลขในหน่วยองศาเซลเซียส หรือองศาฟาเรนไฮด์ ยิ่งมีค่าน้อย เราก็จะยิ่งรู้สึกเย็น

• ปัจจัยที่ 2 ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative humidity) อัตราส่วนของปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศต่อไอน้ำอิ่มตัว ยิ่งความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เหงื่อจากร่างกายเราจะระเหยเพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกเย็นขึ้น

• ปัจจัยที่ 3 ความเร็วลม (Wind Speed) เมื่อลมพัดผ่านร่างกาย จะช่วยในการระบายความร้อน จนทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงและเย็นสบายมากขึ้น

 ดังนั้น เมื่อเราเปิดแอร์เป็นหน้าที่ของเจ้าเครื่องปรับอากาศที่จะช่วยปรับอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของห้องให้ลดลง เพื่อให้เรารู้สึกเย็นมากขึ้น แต่เมื่อเราเปิดพัดลมพร้อมแอร์ พัดลมจะช่วยเพิ่มความเร็วลม กระจายความเย็นไปทั่วห้อง และแลกเปลี่ยนความร้อนกับร่างกาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกเย็นกว่าเดิมนั่นเอง

 

เปิดพัดลมพร้อมแอร์ ประหยัดไฟกว่าเดิมได้จริงหรือ?

 การที่เปิดพัดลมพร้อมแอร์แล้วประหยัดยิ่งกว่า เพราะเราสามารถตั้งอุณหภูมิห้องสูงขึ้นได้ ในขณะที่ยังรู้สึกเย็นสบาย เพราะพัดลมช่วยกระจายความเย็นไปทั่วห้อง และแน่นอนว่าการตั้งงอุณหภูมิสูง ๆ จะกินไฟน้อยกว่าอุณหภูมิต่ำ เราจึงสามารถประหยัดไฟและเซฟเงินในกระเป๋าได้นั่นเอง

 ยิ่งถ้าเปิดพัดลมไปพร้อมๆ กับการเปิดแอร์ที่เป็นระบบ Inverter ก็จะประหยัดไฟยิ่งกว่า เพราะเมื่อเปิดแอร์มาสักระยะ คอมเพรสเซอร์จะไม่หยุดทำงาน แต่ลดการทำงานลงเพื่อช่วยคงอุณหภูมิในห้องไว้อย่างแม่นยำ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ก็จะเร่งการทำงานขึ้นอีกครั้ง โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบใหม่ให้เปลืองไฟ

4 เทคนิคเปิดพัดลมพร้อมแอร์ เย็นจัดแถมประหยัดไฟ

1. เปิด 27 องศา ห้องก็เย็นได้

เทคนิคแรก คือการตั้งอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น ตัวเลขที่แนะนำคือ 27 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เพียงพอในการลดความชื้นในห้อง ให้เรารู้สึกเย็นสบายมากขึ้น ทำให้ประหยัดไฟได้มากกว่าการเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำ ๆ 23-24 องศา ที่ปกติเราเปิดกัน เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานน้อยลง

2. เปิดพัดลมเสริม เพิ่มความเย็น

เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กกว่าก็กินไฟน้อยกว่า ดังนั้น พัดลมจึงกินไฟน้อยกว่าแอร์มาก ถึง 10 เท่า นี่จึงเป็นอีกตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋า เพียงเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์อุณหภูมิ 27 องศา เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วลมและการกระจายตัวของอากาศในห้อง ช่วยลดอุณหภูมิได้ถึง 2 องศา เท่านี้ก็ได้ห้องแอร์เย็นฉ่ำเหมือนเปิดแอร์ปกติแล้ว

3. วางพัดลมใกล้ตัวและเปิดส่าย เย็นกระจายได้ทั่วห้อง

เมื่อจะเปิดพัดลมพร้อมแอร์เป็นตัวช่วยประหยัดไฟ ก็อย่าลืมเลือกวางตำแหน่งพัดลมใกล้บริเวณที่เรานั่งหรือนอน และปรับพัดลมพัดให้ส่ายไปทั่วห้อง จะใช้เป็นพัดลมตั้งพื้นหรือติดผนังก็ได้ และเลือกเปิดเบอร์ 2-3 เพียงเท่านี้ พัดลมก็จะช่วยกระจายความเย็น คลายร้อนให้เราได้แล้ว

4. ล้างแอร์ทุก 3-6 เดือน บอกลาฝุ่นหมักหมม

สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามเลย คือการล้างแอร์นั่นเอง เพราะเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่เราใช้ตลอดแทบจะทุกวัน มักจะมีสิ่งสกปรก ฝุ่นและเชื้อโรคเข้าไปติดสะสมอยู่ตามแผ่นกรองอากาศ เจ้าตัวร้ายพวกนี้นอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังจะทำให้แอร์มีกลิ่นอับชื้นอีกด้วย จึงควรล้างแอร์ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ห้องเย็นเร็ว คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานหนัก และไม่กินไฟนั่นเอง

Cr. https://www.springnews.co.th/news/news/836912

Categories
บทความ

เปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด

เปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด

เปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด รวมความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการเปิด แอร์ หรือ เครื่องปรับอากาศ หน้าร้อนนี้ทำค่าไฟพุ่ง

How to เปิดแอร์ยังไง ให้ประหยัดไฟ
กินไฟ น้อยที่สุด! ไม่จกตา

หลายคนยังมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการใช้แอร์ 
และหน้าร้อนนี้  แอร์ทำงานหนัก สู้กับอุณหภูมิ
ค่าไฟเม.ย. นี้ อาจแพงหูฉีกที่สุด จะใช้แอร์ยังไง ให้ประหยัดที่สุด แบบที่เป็นเรื่องจริง

1.ยิ่งอากาศร้อน แอร์กินไฟมากขึ้น จริงไหม?
จริง เพราะแอร์ ดูดอากาศเข้า เปลี่ยน  ให้เท่ากับอุณหภูมิ ที่เรากำหนด ยิ่งอากาศภายนอก กับ อากาศที่เราต้องการ องศา ต่างกันมากแค่ไหน
แอร์ก็ต้องยิ่งทำงานหนัก มากขึ้น ค่าไฟก็แพงขึ้น

2. เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟ ?

จริง MEA แนะ เปิดแอร์ 26 °C  เปิดพัดลมช่วย เย็นไวขึ้น ประหยัดไฟกว่า เพราะพัดลมช่วยเพิ่มความเร็วลม เพิ่มการเคลื่อนที่ของอากาศ ทำให้เกิดการระบายความร้อนจากร่างกาย ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น  แต่จะประหยัดไฟได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระบบและเทคโนฯ แอร์

3. เปิด-ปิดแอร์บ่อยๆ  ประหยัดไฟกว่าเปิดไว้นานๆ

ไม่จริง เพราะบางบ้านอาจจะชอบเปิดแอร์ไว้ช่วงหนึ่งแล้วปิด เปิดพัดลมแทน คิดว่าอาจจะช่วยประหยัดไฟ แต่จริงๆแล้วนั้น ช่วงการทำงานของแอร์ที่กินไฟที่สุดคือ
ช่วงเริ่มเปิดแอร์และสตาร์ทมอเตอร์  ยิ่งเปิดบ่อย ก็ยิ่งกินไฟ

4. ใช้แอร์ BTU ยิ่งมาก ยิ่งดี

ผิด เพราะถ้า BTU สูงไป คอมเพลสเซอร์แอร์จะตัดบ่อย
 แต่ถ้าเลือก BTU ต่ำเกินไป แอร์ก็จะทำงานหนัก ไม่ค่อยเย็น จริงๆควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง ดีที่สุด

5. เติมน้ำยาแอร์ทุกครั้งที่ล้างแอร์

ไม่จริง เพราะน้ำยาแอร์อยู่ในระบบปิด ไม่มีวันหมด หรือ ระเหย ถ้าแอร์ยังเย็น ท่อไม่รั่ว อยู่ได้ยาวๆเลย 5 – 10 ปี
เหมือนตู้เย็น

6.ไม่ใช้อุปกรณ์ทำความร้อนในห้องแอร์ 
ไดร์เป่าผม เตารีด ควรเลี่ยง เพราะยิ่งเพิ่มความร้อนให้ห้อง เย็นช้าลง แอร์ทำงานหนักขึ้น

7.ตั้งความเร็วพัดลมแอร์ ที่ระดับสูงสุดตอนเปิด เพื่อให้อากาศในห้องเย็นเร็วขึ้น
ช่วงเปิดแอร์แรกๆ ควรตั้งพัดลมแอร์ สูงสุด เพื่อเร่งการเคลื่อนที่ของอากาศ แต่ไม่ต้องใช้อุณหภูมิต่ำก็ได้

Cr. https://www.springnews.co.th/blogs/program/823632

Categories
บทความ

เปิดแอร์ VS เปิดพัดลม แบบไหนที่ช่วยให้นอนหลับสบาย ฟื้นไข้ได้ไวกว่า

เปิดแอร์ VS เปิดพัดลม แบบไหนที่ช่วยให้นอนหลับสบาย ฟื้นไข้ได้ไวกว่า

เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยเหมือนกันว่า เวลาเป็นไข้แท้จริงแล้วควรเปิดแอร์หรือเปิดพัดลมดี แบบไหนกันแน่ที่จะช่วยให้นอนหลับสบายฟื้นจากไข้ได้ไวกว่ากัน เพราะบางบ้านเมื่อเป็นไข้มักถูกสั่งห้ามไม่ให้เปิดแอร์นอนโดยเด็ดขาด เพราะกลัวอากาศที่ถูกปรับให้เย็นลงจะส่งผลต่ออาการไข้ ไข้แทนที่จะลดกลับสูงขึ้นมา แต่ในขณะที่บางบ้านก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เปิดพัดลมนอนขณะเป็นไข้ เพราะเกรงว่าถ้าโดนลมจากพัดลมแล้วจะทำให้เกิดอาการเป็นหวัดคัดจมูกมากขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะหายเร็วกลัวหายช้า มีอาการป่วยอื่น ๆ แทรกซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วสรุปแบบไหนกันแน่คือวิธีทำให้นอนหลับได้สบายของคนเป็นไข้ที่ถูกต้อง วันนี้เรามีคำตอบเรื่องนี้มาฝาก

เปิดแอร์นอนตอนเป็นไข้ ใช่วิธีทำให้นอนหลับสบายจริงหรือ?

ปัจจุบันต้องยอมรับว่าอากาศในประเทศไทยรวมถึงทั่วโลกนั้น มีความแปรปรวนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอากาศร้อนที่ร้อนกว่าเดิมมากขึ้นจนขนลุกไปหมด ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำให้อุณหภูมิทั่วทุกภูมิภาคของโลกสูงขึ้นกว่าเท่าตัว ทำให้อากาศสบายกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ยิ่งระหว่างที่ร่างกายไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วย ตัวร้อนมีไข้สูง มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อน ๆ หนาว ๆ ทำให้กว่าจะข่มตาหลับลงได้เป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก ยิ่งหากคุณเป็นคนติดแอร์ ปกติต้องนอนห้องแอร์เป็นประจำด้วยแล้ว การเปิดแอร์จึงกลายเป็นวิธีทำให้นอนหลับง่ายและสบายขึ้นได้เพียงหนทางเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่สบายก็สามารถนอนเปิดแอร์ได้ แต่เพื่อไม่ให้ส่งผลต่ออาการป่วยไข้ จึงควรเปิดแอร์ตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

1.ปรับอุณหภูมิให้ห้องไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป ควรอยู่ที่ประมาณ 25 – 27 องศาเซลเซียส

2.แอร์ที่ใช้ควรเป็นชนิดที่ติดตั้งติดถาวร ไม่ควรใช้แบบแอร์เคลื่อนที่ หรือแอร์ที่ทำความเย็นจากน้ำหรือน้ำแข็ง เพราะแอร์ประเภทนี้จะเพิ่มความชื้นในอากาศ ทำให้ขณะที่ผู้ป่วยหลับและสูดดมอากาศเข้าไปอาจเสี่ยงต่อการเป็นหวัดที่รุนแรงขึ้น จนกลายเป็นอาการปอดบวม จนป่วยหนักมากขึ้นกว่าเดิมได้

3.เลือกใช้งานระบบ Dry Mode หากไม่สบายช่วงหน้าฝนที่อากาศมีความชื้นมาก ๆ ให้ปรับเป็นระบบ Dry Mode เพื่อควบคุมความชื้น โดยระบบหนี้แอร์จะทำหน้าที่ให้ความเย็นในระดับอุณหภูมิที่กำลังสบาย พร้อมช่วยลดความชื้นในอากาศ ทำให้ในช่วงเวลาที่เป็นไข้นอนหลับได้สบาย ฟื้นไข้ได้ไว

4.ปรับทิศทางลมแอร์ไม่ให้โดนตัวโดยตรง หรือหลีกเลี่ยงการนอนจ่อแอร์

5.ให้ตั้งค่าปรับทิศทางลมแอร์เป็นแบบ Swing เพื่อให้ลมแอร์กระจายความเย็นไปทั่วห้อง

พัดลมก็เปิดตอนเป็นไข้ได้ นอนหลับสบายไม่แพ้นอนห้องแอร์

สำหรับบ้านไหนที่ไม่มีแอร์ หรือไม่ชินกับการนอนห้องแอร์ เวลาเป็นไข้ก็สามารถเปิดพัดลมและนอนหลับสบายได้เช่นกัน แถมดีไม่แพ้นอนห้องแอร์ ช่วยพัดอากาศและฝุ่นจากภายในห้องออกไปจากห้องได้อีกด้วย โดยวิธีทำให้นอนหลับสบายจากการเปิดพัดลมนั้นควรทำดังนี้

1.ไม่เปิดพัดลมเบอร์แรงที่ให้ลมแรง ให้เปิดเบา ๆ เพียงแค่พอมีลมให้ความเย็นก็พอ

2.เปิดพัดลมแบบส่าย ไม่เปิดจ่อตัว เพราะจะทำให้อาการไข้แทนที่จะฟื้นไวกลับกลายเป็นป่วยยาวนานขึ้นกว่าเดิม

3.ล้างพัดลมให้สะอาด ไม่ให้มีฝุ่นเกาะติด เพราะฝุ่นที่เกาะอาจหลุดและสูดดมเข้าไป ทำให้เกิดเป็นอาการภูมิแพ้และเป็นหวัดเพิ่มได้

4.ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่หนา ไม่ใส่แขนยาว เพื่อเสริมการนอนให้หลับได้สบายมากยิ่งขึ้น

สรุป

จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเปิดแอร์หรือเปิดพัดลม ก็สามารถทำให้ร่างกายที่กำลังอ่อนแอจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่นอนสบายหลับสนิทได้ไม่ต่างกัน อย่าลืมว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่ห้องที่คนป่วยจะนอนต้องเป็นห้องที่สะอาด ปราศจากฝุ่น และมีอากาศที่ถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น เรื่องเปิดแอร์หรือพัดลมเป็นเพียงปัจจัยประกอบที่ช่วยให้นอนได้สบาย และหลับได้สนิทมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น เพราะยิ่งร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ นอนหลับอย่างมีคุณภาพ ร่างกายก็จะสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ไว อาการไข้ก็จะหายไวขึ้น ซึ่งคุณสามารถทำได้เพียงแค่ทำตามวิธีทำให้นอนหลับทั้งแบบเปิดแอร์และเปิดพัดลมที่เรานำมาฝาก รับรองได้เลยว่าคุณจะหลับสบายฟื้นจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและกลับมาแข็งแรงสดใสได้เร็วกว่าที่คิดแน่นอน

Cr. https://เขียนบทความ.com/เปิดแอร์-vs-เปิดพัดลม/

Categories
บทความ

สำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้น เปิดนาน 1 ชั่วโมง กินไฟเท่าไร

สำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้น เปิดนาน 1 ชั่วโมง กินไฟเท่าไร

การไฟฟ้านครหลวง เผยอินโฟกราฟิก สำรวจอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน หากเปิด 1 ชม. แต่ละชิ้นกินไฟเท่าไร หน้าร้อน ปิดพัดลม 4 ตัว เปิดแอร์แทน จ่ายเท่ากันไหม

แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย จะอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อวันหลักหน่วย แต่รัฐบาลก็ยังคงหลายมาตรการเอาไว้ เพื่อเป็นการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถานศึกษา ขอความร่วมมือทำงานที่บ้าน ฯลฯ 

เมื่อหลายคนยังต้องทำงานที่บ้าน อีกทั้งเด็กๆ ก็ยังไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ทำให้หลายครอบครัวตกใจกับค่าไฟที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ เฟซบุ๊กเพจ “การไฟฟ้านครหลวง MEA” ได้โพสต์ภาพอธิบาย เกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชิ้น กินไฟเท่าไรกันบ้าง เมื่อเปิดใช้งาน 1 ชั่วโมง

1. เครื่องดูดฝุ่น ขนาด 1,400 – 2,000 วัตต์ ค่าไฟ 6 – 8 บาท/ชม.
2. เตารีดไฟฟ้า 1,000 – 2,800 วัตต์ ค่าไฟ 3.5 – 10 บาท/ชม.
3. เครื่องเป่าผม ขนาด 1,600 – 2,300 วัตต์ ค่าไฟ 6 – 9 บาท/ชม.
4. เครื่องทำน้ำอุ่น ขนาด 3,500 – 6,000 วัตต์ ค่าไฟ 13.5 – 23.5 บาท/ชม.
5. เครื่องซักผ้า ฝาบน – ฝาหน้า ขนาด 10 kg ค่าไฟ 2 – 8 บาท/ชม.
6. เครื่องปรับอากาศติดผนัง แบบ Fixed speed ขนาด 9,000 – 22,000 บีทียู/ชม. ค่าไฟ 2.5 – 6 บาท/ชม.
7. พัดลมตั้งพื้น ขนาดใบพัด 12 – 18 นิ้ว ค่าไฟ 0.15 – 0.25 บาท/ชม.
8. โทรทัศน์ LED backlight TV ขนาด 43 – 65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40 – 1 บาท/ชม.
9. เตาไมโครเวฟ ขนาด 20 – 30 ลิตร ค่าไฟ 3 – 4 บาท/ชม.
10. ตู้เย็น 2 ประตู ขนาด 5.5 – 12.2 คิวบิกฟุต ค่าไฟ 0.30 – 0.40 บาท/ชม.
11. หม้อหุงข้าว ขนาด 1.0 – 1.8 ลิตร ค่าไฟ 3 – 6 บาท/ชม.
12. เครื่องปิ้งขนมปัง ขนาด 760 – 900 วัตต์ ค่าไฟ 3 – 3.5 บาท/ชม.
13. เตาแม่เหล็กไฟฟ้า 1 – 2 หัวเตา ขนาด 2,000-3,500 วัตต์ ค่าไฟ 8 – 14 บาท/ชม.

อย่างไรก็ตาม เพื่อความประหยัด และปลอดภัยจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หลังการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่าลืมถอดปลั๊ก ปิดสวิตช์ทุกครั้งหลังการใช้งาน.
 
Categories
บทความ

ตำแหน่งติดตั้งแอร์ สุขภาพดี ฮวงจุ้ยดี ประหยัดค่าไฟ

เลือกตำแหน่งแอร์ให้เหมาะสม ดีต่อฮวงจุ้ย ดีต่อสุขภาพ

การเลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์ที่ถูกต้อง

ก่อนคิดจะซื้อแอร์มาใช้งาน สิ่งสำคัญที่ต้องวางแผนและสรุปงานให้จบ คือตำแหน่งในการติดตั้งแอร์ เพราะหากช่างแอร์มาถึงบ้านแล้ว แต่เรายังไม่มีตำแหน่งในการติดตั้ง เมื่อถึงช่วงเวลานั้นอาจจำเป็นต้องรีบคิดแบบเร่งด่วนซึ่งมักจะคิดผิด คิดไม่รอบคอบนัก หากพบเจอช่างแอร์ที่ดี มีความรู้ด้านตำแหน่งและทิศทางต่าง ๆ ก็นับว่าโชคดีไปครับ แต่หากเจอช่างแอร์ที่ไม่สนใจรายละเอียดงานมากนัก ขอแค่ติดตั้งให้เสร็จ รับเงิน ก็นับว่าหมดหน้าที่แล้ว เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องคิดวางแผนอย่างรอบคอบก่อนล่วงหน้า หรือหากท่านใดยังไม่สร้างบ้าน ให้สถาปนิกช่วยคิดให้จบตั้งแต่กระบวนการออกแบบบ้านได้ยิ่งดีครับ

ตำแหน่งแอร์ภายในห้องนอนและห้องต่าง ๆ

1 . ตำแหน่งแอร์ สามารถกระจายตัวของลมได้ไกล

ห้องแต่ละห้องอาจออกแบบให้มีขนาดสัดส่วนที่แตกต่างกัน วิธีการมองหาตำแหน่งเบื้องต้นให้ดูว่าตำแหน่งจุดไหนที่เรายืนอยู่ สามารถมองเห็นส่วนต่าง ๆ ของห้องได้ทั่วถึง หากสายตามองเห็นได้กว้าง เครื่องปรับอากาศก็สามารถกระจายลมเย็นไปทั่วทั้งห้องได้เช่นเดียวกัน แต่หากติดตั้งในมุมอับ มุมขวาง การกระจายความเย็นอาจทำได้ไม่ดีนัก อย่างเช่น ห้องที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตำแหน่งแอร์ควรติดตั้งในตำแหน่งแนวยาว ลมจะกระจายความเย็นได้ทั่วถึงกว่าตำแหน่งแนวขวาง

ตัวอย่างการเลือก ตำแหน่ง ติดตั้งแอร์

ตัวอย่างผังตำแหน่งการติดตั้งแอร์ อาจปรับตำแหน่งได้ตามความเหมาะสม

2. ตำแหน่งแอร์ ต้องไม่โดนแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง

เครื่องทำความเย็นทุก ๆ ประเภท ทั้งตู้เย็นและแอร์ จะไม่นิยมให้โดนแสงแดดหรือโดนความร้อนมากนัก เนื่องด้วยความร้อนส่งผลให้แอร์ทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะผนังบ้านทางทิศใต้และทิศตะวันตก เป็นทิศที่มีแสงแดดร้อนเกือบตลอดทั้งวัน แต่ทั้งนี้ในทางปฏิบัติ ห้องบางห้องไม่สามารถเลี่ยงที่จะติดตั้งในทิศดังกล่าวได้ อาจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศชนิดติดฝังฝ้าเพดานทดแทน ซึ่งจะให้ความสวยงามและไม่รกพื้นที่ผนังอีกด้วยครับ

3. ตำแหน่งแอร์ ต้องไม่ตรงกับศรีษะ

ข้อนี้นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งด้านฮวงจุ้ยและด้านสุขภาพ ในทางฮวงจุ้ยจะไม่นิยมให้มีวัตถุใด ๆ ติดตั้งไว้เหนือศรีษะ แนะนำให้ผู้อ่านทดลองนั่งหรือนอนในตำแหน่งที่มีวัตถุเหนือศรีษะ จากนั้นค่อย ๆ สังเกตความรู้สึก เราจะรับรู้ถึงการกดทับ ไม่ปลอดภัย การอยู่อาศัยจะรู้สึกถึงความระแวงเป็นกังวล จิตใจย่อมไม่สงบ และหากมองในมุมของการใช้งานจริง การติดตั้งแอร์ไว้ตำแหน่งที่ผู้ใช้ต้องนั่ง ต้องนอน เช่น โต๊ะทำงาน เตียงนอน เมื่อถึงเวลาซ่อมแซม ล้างทำความสะอาด ย่อมก่อให้เกิดความไม่สะดวก ฝุ่นอาจร่วงตกลงมาบนที่นอน ส่งผลให้เลอะ สกปรก และช่างอาจยืนเซอร์วิชได้ไม่สะดวกอีกด้วยครับ

4. ตำแหน่งแอร์ ไม่ควรอยู่ตรงข้ามกับจุดนั่งหรือจุดนอน

ตำแหน่งตรงกันข้าม หมายถึง ตำแหน่งที่ผู้อยู่อาศัยต้องใช้งานระยะยาว อาจเป็นการนั่งทำงานทั้งวัน นอนหลับพักผ่อนตลอดค่ำคืน เนื่องด้วยหากลมเย็นของแอร์กระทบกับร่างกายโดยตรงต่อเนื่องยาวนาน มักส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วย ผิวแห้ง ระคายเคืองตา เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย ตัวอย่างเช่น กรณีห้องนอนไม่ควรให้ตรงข้ามเตียงนอน กรณีห้องทำงาน ไม่ควรตรงข้ามกับตำแหน่งโต๊ะทำงาน แต่หากเป็นตำแหน่งที่ใช้งานชั่วคราว เช่น โต๊ะอาหาร, มุมรับแขก หรือโซนอื่น ๆ ที่ใช้งานชั่วคราวจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก

ตำแหน่ง ติดตั้งแอร์ ห้องนอน

ตำแหน่งคอยล์ร้อน (ภายนอกห้อง)

5. นอกจากการเลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์ภายในห้องต่าง ๆ ของบ้านแล้ว ส่วนประกอบของแอร์ยังมีคอยล์ร้อนที่ติดตั้งไว้นอกบ้าน ซึ่งจะมีหลักการเลือกตำแหน่งที่สำคัญ ดังนี้

Eminent-Air-4

  • ไม่ควรให้คอยล์ร้อนอยู่สูง หรือต่ำจนเกินไป เพราะหากสูงเกินไป การติดตั้งและซ่อมแซมภายหลังอาจไม่สะดวกมากนัก แต่หากต่ำจนเกินไปจนใกล้ระดับพื้น อาจส่งความเสียหายเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมและอาจก่อให้เกิดอันตราย หากผู้อยู่อาศัยเดินไม่ระมัดระวัง
  • ไม่ควรให้คอยล์ร้อนห่างจากเครื่องปรับอากาศมากเกินไป ยิ่งห่างมากระบบการทำงานจะยิ่งหนักขึ้น อีกทั้งช่างจะต้องเดินท่อไกล เสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอีกด้วยครับ ก่อนติดตั้งแอร์ภายใน จึงจำเป็นต้องออกไปดูนอกห้องว่า จะมีตำแหน่งให้จัดวางคอยล์ร้อนหรือไม่
  • สำหรับบ้านที่ยังไม่สร้าง ในขั้นตอนออกแบบบ้าน ควรมีตำแหน่งสำหรับวางคอยล์ร้อนโดยเฉพาะ ช่วยให้บ้านสวยงามขึ้นครับ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหลักการพื้นฐานทั่วไปในการเลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์ หากเลือกได้ควรติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมย่อมก่อให้เกิดการอยู่อาศัยที่ดีกว่า แต่หากเลือกไม่ได้จริง ๆ ก็อย่าเพิ่งกังวลไปมากนะครับ หาตำแหน่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็นับว่าดีที่สุดในห้องนั้น ๆ แล้ว

Cr. https://www.banidea.com/position-air-conditioners/

Categories
บทความ

ลูกไม่สบายเปิดแอร์, พัดลมได้ไหม เปิดยังไงให้ถูกวิธี

ลูกไม่สบายเปิดแอร์, พัดลมได้ไหม เปิดยังไงให้ถูกวิธี

มีคุณพ่อคุณแม่หลายท่านสงสัยว่าเวลาที่ลูกป่วย เป็นไข้ไม่สบาย สามารถเปิดแอร์หรือพัดลมให้เด็กนอนได้หรือไม่ เพราะบางวันอากาศร้อนกลัวเด็กๆ เค้านอนหลับไม่สนิท กลัวลูกไม่สบายตัว แล้วระหว่างเปิดพัดลมกับเปิดแอร์แบบไหนจะดีกว่ากัน เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของแต่ละครอบครัว อาจจะแตกต่างกัน บางคนที่อยู่ในบ้านที่ค่อนข้างมีพื้นที่กว้าง มีหน้าต่างที่สามารถระบายอากาศได้ดี มีต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่น เปิดพัดลมก็ช่วยได้เช่นกัน แต่จะเปิดแอร์หรือลมพัด ก็ต้องรู้วิธีการเปิดให้ถูกต้องเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อยนะคะ

วิธีการเปิดพัดลม
ช่วงหน้าร้อนแบบนี้คุณแม่ก็สามารถเปิดพัดลมได้ จะช่วยให้อากาศร้อนจากภายนอกที่เข้ามาในบ้านลดน้อยลง

  • แนะนำให้เปิดพัดลมแบบส่าย
  • ไม่จ่อพัดลมมายังลูกโดยตรง
  • ใช้ความแรงพัดลมเบาๆ
  • ให้ลูกสวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี

870 open aircondition

วิธีการเปิดแอร์
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง หรือในตึกที่ร้อน บางครั้งเปิดพัดลมอากาศก็ยังร้อนอบอ้าว สามารถเปิดเครื่องปรับอากาศได้ค่ะ

  • โดยปรับอุณหภูมิให้พอดี ไม่เย็นจนเกินไป ที่ประมาณ 25-27 องศาเซลเซียส
  • ตั้งเตียงของลูกไม่่ให้อยู่ในระดับทางลมแอร์
  • หลีกเลี่ยงการใช้แอร์เคลื่อนที่ชนิดเติมน้ำหรือเติมน้ำแข็งเพราะจะทำให้ลูกปอดบวมชื้นได้
  • ตั้งแอร์ให้เป็นระบบ Auto Swing และตั้ง Sleep โหมด

หากช่วงที่ลูกมีไข้ ให้เช็ดตัวและรับประทานยาลดไข้ บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กกลัวน้องป่วยทำให้ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ร้อนมาก ทำให้เด็กๆ นอนไม่สบาย ถีบผ้าห่มออกก็ไม่แนะนำ ไม่ควรใช้ผ้าห่มหนาๆ ห่อตัวลูกจะทำให้เด็กตัวร้อนได้ค่ะ

ลูกนอนห้องแอร์หรือนอนพัดลมดีกว่ากัน
แบบไหนที่ลูกนอนสบาย หลับสนิทดี ไม่ว่าแอร์หรือพัดลมก็ใช้ได้ทั้งนั้นค่ะ

 

ขอบคุณบทความจาก
พญ. ฐิตาภรณ์ วรรณประเสริฐ
เเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนังเด็ก โรงพยาบาลผิวหนังอโศก

Cr. https://www.babimild.com/th/expert-articles/expert-articles-sub/expert-talk/item/870-fan-or-air-conditioning-when-children-sick.html

Categories
บทความ

การเลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์มีความสำคัญอย่างไร

การเลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์มีความสำคัญอย่างไร

เป็นคำถามที่ค่อนข้างน่าสนใจ ที่ผู้ใช้งานส่นใหญ่ให้ความสำคัญไม่น้อยวันนี้เรามีบทความดี ๆ มานำเสนอการติดตั้งแอร์ให้ตำแหน่งที่สำคัญดังนี้คือ

1. ตำแหน่งที่ติดตั้งไม่ควรตรงกับประตู (หรือหน้าต่างบางกรณี) เนื่องจากในการเปิด หรือปิดประตู ในแต่ละครั้ง จะมีอากาศผ่านเข้า – ออก ดังนั้นหากติดตั้งตำแหน่งแอร์ดังกล่าวแล้วที่ตรงกับประตู ก็จะทำให้ความเย็นไหลผ่านออกนอกห้องได้อย่างรวดเร็วมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ

2. ตำแหน่งที่ติดตั้ง Indoor ไม่ควรโดนแดด เนื่องมากจากถ้าเครื่องปรับอากาศโดนแดด จะเป็นการเพิ่มอุหภูมิภายในเครื่องปรับอากาศ โดยใช่เหตุ จะส่งผลในห้ระบบการทำความเย็น ของเครื่องปรับอากาศทำงานงานหนักมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้บริกาณการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน และอาจทำให้อายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศสั้นลง และอีกทั้งในส่วนของพลาสติกของเครื่องปรับอากาศจะเสื่อมอายุ เช่น ซีด เก่า หรือเปราะแตกหัก

3. ตำแหน่งที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ควรโดนโดยตรงกับร่างกาย สาเหตุเพราะจะทำให้เราไม่สบายตัวเวลานอน และในบางคนที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี อาจจะทำให้ไม่สบายได้โดยง่าย

4. ตำแหน่งติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ควรคำนึงถึงเรื่องการดูแลรักษา เช่น การถอดล้าง การตรวจเช็ค จะต้องทำได้โดยง่าย โดยการติดตั้งเครื่องปรับอากาศต้องไม่ชิดติดกับฝ้าเพดานจนเกินไป

5. เรื่องของความยาวท่อทองแดง ระหว่าง แฟนคอยส์ยูนิต และ คอนเดนซิ่งยูนิต ไม่ควรยาวหรือต่างระดับกันมาก หากกรณีที่ท่อยิ่งยาวมากคอมเพรสเซอร์จะทำงานหนักมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาในระยะยาว

6. ตำแหน่งการติดตั้งคอนเดินซิ่งยูนิต มีหลักดังนี้คือ

– ต้องสามารถระบายความร้อนได้ดี

– ควรเว้นระยะห่างจากกำแพงมาถึ่งด้านหลังเครื่องไม่น้อยกว่า 10 ซม. และเว้นระยะด้านหน้าเครื่องไม่น้อยกว่า 70 ซม.

– ไม่ควรวางตำแหน่งโดนฝนสาดได้ง่าย หรือถูกแสงแดดโดยตรง หรือ ไม่กีดขวางทางเดิน

– ตำแหน่งที่ติดตั้งควรมีโครงสร้างที่แข็งแรง หรือ ใกล้คาน หรือเสา เพื่อรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

– ตัวเครื่องควรยกระดับให้พ้นจากพื้นดินอย่างน้อย 10 ซม. หรือพ้นจากระดับน้ำท่วมถึงและในบริเวณที่สามารถซ่อมหรือบำรุงได้โดยง่าย

*** ตำแหน่งอื่น ๆ ก็ควรระวัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรณีหน้างาน หรือแต่ละบ้านหรือพื้นที่ติดตั้งไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ค่ะ

Cr. https://dasintergroup.com/blog/การเลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์มีความสำคัญอย่างไร/

Categories
บทความ

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนติดแอร์

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนติดแอร์

ใครที่กำลังหาซื้อแอร์มาติด วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีสิ่งที่ควรรู้ก่อนติดแอร์มาบอก….

         แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสูง ควรเลือกขนาดให้เหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง และจะช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น ถ้ามีการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมของบ้านก่อนติดตั้ง ดังนั้นก่อนซื้อควรเตรียมพร้อม เพื่อช่วยให้แอร์ ไม่ต้องทำงานหนัก ที่สำคัญไม่เปลืองค่าไฟ

         1. ทาสีผนังภายนอก ด้วยสีอ่อน ช่วยสะท้อนความร้อน

         2.ติดผ้าม่านหรือมูลี่ และกันสาดที่หน้าต่างเพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดด

         3.ตรวจดูไม่ให้มีช่องว่างให้อากาศร้อนภายนอกซึมเข้าสู่ห้อง ทั้งทางประตูและหน้าต่าง โดยเฉพาะ หน้าต่างบานเกล็ดไม่ควรใช้

         4.ในห้องนอนไม่ควรติดพัดลมระบายอากาศหรือถ้าห้องน้ำติดกับห้องนอนอาจติดพัดลมระบายอากาศขนาดความยาวของใบพัดไม่เกิน 6 นิ้ว ไว้ภายในห้องน้ำได้ และควรเปิดเฉพาะเมื่อมีการใช้ห้องน้ำเท่านั้น

         เพียงแค่นี้ก็จะมีแอร์ที่ให้ความเย็นและประหยัดพลังงานมาไว้ใช้แล้ว

Cr. https://hilight.kapook.com/view/28295

Categories
บทความ

น้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมสาเหตุและวิธีแก้ ทำตามง่าย

น้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมสาเหตุและวิธีแก้ ทำตามง่าย

รู้สาเหตุของน้ำแอร์หยด วิธีแก้ไขที่ทำได้เอง พร้อมไขข้อสงสัยว่าน้ำแอร์หยด อันตรายไหม สามารถเปิดใช้งานขณะที่น้ำยังหยดอยู่ได้หรือไม่

ถ้าตอนนี้ที่บ้านของคุณกำลังใช้ถังมารองน้ำแอร์หยดอยู่ล่ะก็…บทความนี้ทางเซฟไทยจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุ และไขข้อสงสัยว่าน้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้อย่างทันที แถมเซฟเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

แม้ว่าก่อนหน้านี้เวลาที่เราประสบปัญหาเกี่ยวกับน้ำแอร์หยด สิ่งแรกที่สงสัยคือน้ำแอร์หยด อันตรายไหม และต่อมาเราอาจจะรีบติดต่อช่างแอร์ผู้เชี่ยวชาญมาแก้ไขซ่อมแซมอย่างเร็วที่สุด แต่หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ บางทีคุณแทบจะสามารถสังเกตอาการและรู้สาเหตุของปัญหานี้จนจัดการแก้ไขมันได้อย่างคาดไม่ถึงด้วยตนเองเลยก็ได้ จะทำได้อย่างไรตามไปดูกันเลย

สาเหตุของน้ำแอร์หยด มีอะไรบ้าง

  1. น้ำแอร์หยดเพราะถาดน้ำทิ้งชำรุด

เมื่อสังเกตแล้วว่ามีน้ำแอร์หยด ลองตรวจสอบถาดรองน้ำทิ้งว่าชำรุด รั่ว แตกหักอยู่หรือเปล่า เพราะถาดรองน้ำทิ้งจะรองรับน้ำเอาไว้ หากเกิดการรั่วซึมขึ้นมาจะทำให้น้ำแอร์หยดได้ รวมไปถึงถ้าแอร์มีฝุ่นตกค้างในเครื่องอยู่มากจนไปสะสมในถาด และไหลไปที่ท่อน้ำทิ้งของถาดก็จะส่งผลให้เกิดการอุดตัน ไม่สามารถระบายน้ำออกมาได้ แล้วต้องไหลย้อนกลับมาที่หน้าเครื่องและเกิดเป็นน้ำแอร์หยดได้นั่นเอง นอกจากนี้ควรต้องเช็กด้วยว่าถาดรองมีการเคลื่อนที่หรือติดตั้งอย่างเหมาะสมหรือไม่ เพราะนี่เองก็เป็นสาเหตุของน้ำแอร์หยดได้เช่นกัน

วิธีแก้ไข

– ก่อนจะถอดถาดน้ำทิ้งออกมา ควรสับเบรกเกอร์ลง เพื่อความปลอดภัย

– นำภาชนะมารองน้ำที่หยดเอาไว้ก่อน

– นำถาดรองน้ำออกมาทำความสะอาด และฉีดน้ำไล่ฝุ่นที่ท่อน้ำทิ้ง เพื่อไม่ให้อุดตัน

กรณีที่ทำความสะอาดแล้วยังมีน้ำแอร์หยดอยู่ ให้ตรวจสอบว่าถาดน้ำทิ้งมีรอยแตก รอยร้าว หรือชำรุดอยู่หรือไม่ ถ้ามีแนะนำให้เปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าไม่มี ลองดูอีกครั้งว่าประกอบถาดน้ำทิ้งเข้าไปถูกต้องไหม ลงล็อกแน่นพอดีหรือยัง เพราะหากใส่ถาดไม่พอดี น้ำแอร์จะยังหยดอยู่เหมือนเดิม

  1. ถ้าท่อน้ำทิ้งอุดตันก็น้ำแอร์หยดได้

เมื่อเราใช้งานแอร์ไปสักพักและไม่มีการล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน จะทำให้แอร์มีฝุ่นสะสมกันอยู่ที่ท่อน้ำทิ้งจนเกิดการอุดตัน และที่สำคัญถ้าเดินท่อน้ำทิ้งไว้ไม่ดี เช่น ท่อน้ำทิ้งยาวเกินไป การห่อหุ้มไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถส่งผลให้น้ำแอร์หยดได้ง่าย

วิธีแก้ไข

– ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนท่อน้ำใหม่

– ล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน

  1. แผ่นกรองอากาศสกปรก ต้นเหตุของน้ำแอร์หยด

ชิ้นส่วนสำคัญอย่างแผ่นกรองอากาศมักเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำแอร์หยด หากไม่ได้ทำการล้างแอร์อย่างเป็นประจำ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แผ่นกรองอากาศมีฝุ่นสะสมกันมากจนเกินไปจนเกิดการอุดตัน นอกจากจะส่งผลให้น้ำแอร์หยดแล้ว เรายังรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการอุดตันจนน้ำไม่สามารถระบายออกมาได้ จนเกาะตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ข้างใน และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิห้อง น้ำแข็งจึงละลายเป็นหยดน้ำออกมานั่นเอง

วิธีแก้ไข

– ควรล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน

  1. น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอก็ส่งผลให้น้ำแอร์หยดได้

ไม่บ่อยนักที่สาเหตุของน้ำแอร์หยดจะมาจากการที่น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากเริ่มรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นหรือเย็นช้าลง โดยสังเกตได้จากพัดลมของคอยล์ร้อนนอกห้อง ถ้ามีลมร้อนออกมา หมายความว่า อยู่ในระดับปกติ แต่ถ้าเป็นลมปกติ ไม่มีลมอุ่น/ร้อน แสดงว่า น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ

วิธีแก้ไข

– เติมน้ำยาแอร์ โดยทั่วไปน้ำยาแอร์มี 3 ประเภท ได้แก่ R22 สารทำความเย็นรุ่นเก่า ใช้กับเครื่องปรับอากาศในบ้านทั่วไป, R32 สารทำความเย็นที่ไม่ทำลายโอโซน ลดโลกร้อน และ R410A สารทำความเย็นรุ่นใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดพลังงาน

– การเติมน้ำยาแอร์สามารถแก้ไขได้เพียงเบื้องต้น ซึ่งแนะนำให้ปรึกษาช่างแอร์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบว่ามีรอยรั่วซึมของน้ำยาแอร์หรือไม่

  1. น้ำแอร์หยดอาจมาจากจุดที่ติดตั้งแอร์ที่ไม่เหมาะสม

การติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้มาตรฐานโดยช่างผู้ชำนาญ อาจมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้ เช่น การเดินท่อน้ำทิ้งยาวเกินไป ไม่ได้องศา เก็บงานพันเทปละเอียดไม่มากพอ เป็นต้น ซึ่งเราจะรู้ตัวอีกทีก็ติดตั้งเสร็จจนใช้งานไปแล้วสักระยะหนึ่ง

วิธีแก้ไข

– เลือกติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่เหมาะสม เลี่ยงบริเวณที่แสงแดดส่องทั้งวัน ประตูเข้า-ออก เป็นต้น

– หากติดตั้งแอร์ไปแล้วสามารแก้ไขด้วยการติดผ้าม่านหรือติดฟิล์มกันความร้อน ที่บริเวณมีแดดส่อง หน้าประตู

ไขข้อสงสัย น้ำแอร์หยด อันตรายไหม

ช่วงแรกที่น้ำแอร์หยดเชื่อว่าหลายคนคงแค่หงุดหงิดและปล่อยมันทิ้งไว้ แต่หากละเลยให้น้ำแอร์หยดต่อไปในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับฝ้า เพดาน กำแพง ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ มีโอกาสเสี่ยงเกิดไฟช็อตได้ด้วย จนในที่สุดแอร์ก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพจนต้องซ่อมแซมใหญ่โตหรือเปลี่ยนใหม่กันเลยทีเดียว ดังนั้น ปัญหาน้ำแอร์หยดจึงไม่ควรปล่อยเอาไว้เนิ่นนาน ควรรีบแก้ไขให้ไวที่สุด

น้ำแอร์หยดแบบนี้จะเปิดแอร์ได้ไหม?

อย่างที่เรารู้กันว่าสาเหตุของน้ำแอร์หยดนั้นเกิดได้หลากหลายมาก หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า เช่น รอเปลี่ยนถาดน้ำทิ้ง ก็สามารถเปิดแอร์ได้ตามปกติ เพียงแต่อย่าลืมเอาถังมารองน้ำที่หยดจากแอร์ด้วย ส่วนถ้าสาเหตุของน้ำแอร์หยดเป็นเรื่องระบบไฟฟ้า ควรงดการเปิดใช้งานไปก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แนะนำให้งดใช้งานแอร์ที่มีอาการน้ำหยดไปก่อนจะดีที่สุด เพราะการที่แอร์ทำงานขณะที่มีน้ำหยด เสี่ยงต่อโอกาสการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้

 

ได้รู้คำตอบกันไปแล้วว่าน้ำแอร์หยด อันตรายไหม พร้อมกับสาเหตุและวิธีแก้ไขฉบับเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองก่อน แต่ถ้าหากลองทำตามดูแล้ว ยังไม่หายเป็นปกติ แนะนำให้ติดต่อช่างแอร์เพื่อเช็กปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุด และที่สำคัญคือควรล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุก 6 เดือน จะช่วยป้องกันอาการน้ำแอร์หยด พร้อมดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป

Cr. https://safesavethai.com/articles/น้ำแอร์หยด-อันตรายไหม/