Categories
บทความ

4 เหตุผล ทำไมต้อง ล้างแอร์ ก่อนเข้าหน้าร้อน ?

4 เหตุผล ทำไมต้อง ล้างแอร์ ก่อนเข้าหน้าร้อน ?

เพราะหน้าร้อนค่าไฟเพิ่มขึ้น เป็นปัญหาที่คนไทยเจอเป็นประจำในทุกๆ ปี วันนี้เรามี 4 เหตุผลในการ ทำไมเราต้องล้างแอร์ก่อนหน้าร้อนมาฝาก อ่านต่อได้เลย

1. ลดการสะสมของฝุ่น

เพราะฝุ่นเป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ การล้างแอร์จะช่วยลดการสะสมของฝุ่น ภายในแอร์ และช่วยให้ลมแอร์แรงขึ้น

2. ไม่ต้องรอคิวช่างนาน

หน้าร้อนจะเป็นช่วงเวลาคิวทองของช่างล้างแอร์ การล้างแอร์ก่อนเข้าหน้าร้อนทำให้เราไม่ต้องรอคิวนาน

3. ช่วยประหยัดไฟ

ทุกๆ หน้าร้อน ค่า FT ไฟฟ้ามักจะเพิ่มขึ้น การล้างแอร์จะช่วยให้แอร์ทำงานหนักน้อยลง และช่วยลดค่าไฟได้อีกด้วย

4. ยืดอายุการใช้งาน

ยิ่งร้อน ยิ่งเปิดแอร์แรงขึ้น การล้างแอร์จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น เพราะไม่มีฝุ่นสะสม ลมแอร์ออกได้มากขึ้น

นี่คือสาเหตุว่าทำไมต้องล้างแอร์ โดยทั่วไปการล้างแอร์นั้น ปีละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย หรือ 3-4 ครั้งต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำงานของแอร์ให้มีอายุการทำงานยาวนานขึ้น และทำให้ผู้อยู่อาศัย มีสุขภาพดี เมื่อรู้แล้วว่า ในช่วงหน้าร้อนนี้อย่าลืมล้างแอร์

Cr. https://primo.co.th/บทความ/4-เหตุผล-ทำไมต้อง-ล้างแอร/

Categories
บทความ

5 เทคนิคเปิดแอร์เย็นใจ ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

5 เทคนิคเปิดแอร์เย็นใจ ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

ย่างเข้าหน้าร้อนทุกปี แอร์กลายเป็นสิ่งขาดไม่ได้ ออกนอกห้องแอร์ทีไรร้อนหูดับตับไหม้ เหงื่อไหลไคลย้อยพาลให้อารมณ์หงุดหงิดไม่เป็นอันทำงานทำการ แต่จะเปิดแอร์ให้เย็นกายสบายใจก็กลัวต้องตกใจกับตัวเลขบิลค่าไฟที่พุ่งสูงตามอุณหภูมิ แนะนำแนวทางว่าจะเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดเงินค่าไฟในช่วงหน้าร้อนนี้

 

save-electricity-bill2
 

 

ล้างแอร์

วิธีแรกที่สุดเลยคือการล้างแอร์ เพราะเมื่อแอร์มีการใช้งานไปนานๆ จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวแอร์ และเมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น ทำงานหนัก กินไฟมากกว่าเดิม และถ้าฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้แอร์มีน้ำหยด การล้างแอร์เบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดแผ่นกรองหยาบก็สามารถช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้ดีขึ้น หรือจะให้ช่างแอร์มาล้างให้สะอาดเอี่ยมอ่องก็จะทำให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

 

 

ลองตั้งอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเล็กน้อย

มีความเข้าใจว่าอุณหภูมิแอร์ 25 องศาคืออุณหภูมิที่ประหยัดไฟที่สุดซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเล็กน้อย ความจริงแล้วระดับอุณหภูมิ 25 องศาที่คือระดับอุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกสบายที่สุด จึงมีการแนะนำให้ตั้งระดับอุณหภูมิแอร์ที่ 25 องศา แต่ถ้าใครลองปรับเพิ่มอุณหภูมิเป็น 26-27 องศาแล้วยังรู้สึกสบายตัวอยู่ แนะนำให้ปรับอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย แอร์ก็จะทำงานน้อยลง ช่วยให้ประหยัดพลังงานและประหยัดค่าไฟ ถ้าตอนกลางวันอากาศร้อนไม่ไหวจริงๆ อาจจะลองปรับอุณหภูมิเฉพาะในเวลากลางคืนที่อากาศร้อนน้อยกว่า แล้วตั้งเวลาปิดแอร์ 1 ชั่วโมงก่อนตื่นนอน  แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว

 

 

 

หลีกเลี่ยงใช้แอร์ในห้องพื้นที่เปิด

การเปิดแอร์ในห้องที่เปิดโล่งอย่างห้องโถง ที่มีทางขึ้นบันได ทางเดินไปห้องอื่นๆ ไม่มีประตูกั้น นอกจากแอร์ไม่ค่อยเย็นแล้ว ยังทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติและค่าไฟเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรเปิดแอร์ในห้องที่เป็นพื้นที่ปิด หรือถ้าจำเป็นต้องใช้แอร์ในห้องโถงจริงๆ ก็ควรติดตั้งฉากกั้นพื้นที่แบบเปิดปิด กั้นทางขึ้นบันได และทางเดินไปห้องอื่นๆ รวมถึงปิดหน้าต่าง ม่านให้เรียบร้อย ซึ่งม่านก็ช่วยลดอุณหภูมิจากแสงดอาทิตย์ภายนอก แอร์ทำงานน้อยลง ประหยัดพลังงานและค่าไฟแล้ว

 

 

 

ใช้พัดลมช่วย

การเปิดพัดลมไล่ความร้อนในห้องก่อนเปิดแอร์จะช่วยลดความอุณหภูมิความร้อนภายในห้อง ทำให้ตอนเปิดแอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก ยิ่งถ้าเปิดพัดลมช่วยในระหว่างที่เปิดแอร์จะช่วยให้ความเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วห้อง และถึงแม้จะปรับอุณหภูมิเพิ่มเป็น 26-27 องศา (ตามข้อ 2) การเปิดพัดลมช่วยจะทำให้แอร์เย็นสบายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือประหยัดไฟกว่าเดิม

 

 

 

หลีกเลี่ยงการนำของร้อน/ของชื้นเข้าห้อง

ปกติการนำของร้อนเข้ามาในห้อง จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิความร้อนที่เพิ่มขึ้นในห้องหลายคนคงคิดไม่ถึงว่าการมี ต้นไม้ เสื้อผ้าเปียก ภาชนะใส่น้ำของเหลวในห้อง ก็ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น ส่งผลต่อค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะหลักการการทำงานของแอร์ นอกจากจะใช้พลังงาน 30% ลดอุณหภูมิห้องแล้ว ยังใช้พลังงาน 70% กำจัดความชื้นให้อากาศให้ห้องแห้ง ดังนั้นการมีสิ่งที่ก่อความชื้นภายในห้อง ทำให้แอร์ต้องใช้พลังงานทำงานหนักเพื่อกำจัดความชื้นภายในห้อง การหลีกเลี่ยงไม่นำของชื้นและของร้อนเข้ามาในห้องจึงเป็นการช่วยแอร์ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟได้อีกวิธีหนึ่ง

Cr. https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/tips-for-you/save-electricity-bill.html

Categories
บทความ

ติดตั้งแอร์จุดไหนของห้องนอน เย็นกำลังดีไม่มีภูมิแพ้

ติดตั้งแอร์จุดไหนของห้องนอน เย็นกำลังดีไม่มีภูมิแพ้

1. ไม่ควรติดตั้งแอร์บนศีรษะและปลายเตียง
ไม่ควรติดตั้งแอร์ในด้านหัวเตียงและปลายเตียง ข้อนี้สิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่ปล่อยลมออกมาปะทะร่างกายและศีรษะโดยตรง อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ สำหรับทิศทางลมจากเครื่องปรับอากาศที่สวนจากปลายเท้าขึ้นมาทางศีรษะ ลมเย็นจะพัดสวนเข้าจมูกตลอด หากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำความสะอาดนานๆ อากาศที่เป่าออกจากแอร์จะมีความชื้นและเชื้อโรคตามมาด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบหายใจทำงานผิดปกติ มีโอกาสเป็นหวัดเรื้อรัง เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย อีกทั้งการติดตั้งแอร์ไว้บนหัวเตียง จะทำให้ตอนนอนรู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับอยู่ ส่งผลให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและยังผิดหลักฮวงจุ้ยด้วย

2. ไม่ควรติดตั้งแอร์เหนือประตู
ตำแหน่งเหนือประตูห้อง คือจุดที่ไม่ควรติดตั้งแอร์ เพราะการเปิด-ปิด ประตูแต่ละครั้งจะทำให้ความเย็นออกจากห้องนอนได้ง่าย อุณหภูมิใกล้ประตูไม่คงที่ ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศเย็นช้า ระบบเซ็นเซอร์ของเครื่องปรับอากาศทำงานหนักและกินไฟ

3. ตำแหน่งแอร์ ต้องไม่โดนแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง
เครื่องทำความเย็นทุกๆ ประเภท ไม่ควรติดตั้งในจุดที่โดนแสงแดดหรือมีเครื่องทำความร้อน โดยเฉพาะผนังบ้านทางทิศใต้และทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่รับแสงแดดเกือบตลอดทั้งวัน ไม่เพียงแค่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น ค่าไฟก็ขยับตามขึ้นด้วย หากบางห้องไม่สามารถเลี่ยงในการติดตั้งในทิศดังกล่าวได้ อาจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศชนิดฝังฝ้าเพดานแทน

4. เลือกตำแหน่งที่กระจายลมได้ไกล
ห้องแต่ละห้องจะมีรูปร่างและขนาดต่างกัน วิธีการมองหาจุดติดตั้งแอร์มีหลักการใกล้เคียงกันคือ ติดตั้งมุมที่เครื่องปรับอากาศสามารถกระจายลมเย็นไปทั่วทั้งห้องได้ ไม่ติดตั้งในมุมอับ เพราะการกระจายความเย็นอาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตำแหน่งติดตั้งควรอยู่ในตำแหน่งผนังแนวยาว เพื่อให้ความเย็นที่ออกมากระจายไปทางซ้ายและขวาของห้องได้อย่างทั่วถึง

5. เลือกติดตั้งแอร์หรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งตั้งฉากกับเตียง
ตำแหน่งที่เหมาะสมกับการติดตั้งแอร์ในห้องนอนมากที่สุด คือ ผนังด้านที่ตั้งฉากกับเตียง ให้ทิศทางลมจากตัวเครื่องพัดขวางลำตัวในเวลานอน อาจติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้ตรงบริเวณกลางเตียงหรือขยับเยื้องค่อนไปทางปลายเตียงเล็กน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจได้

Cr. https://www.thepalmhome.com/ติดตั้งแอร์จุดไหนของห้/

Categories
บทความ

แอร์เสียงดัง น้ำแข็งเกาะ ลมไม่ออก

แอร์เสียงดัง น้ำแข็งเกาะ ลมไม่ออก

วิธีการรับมือกับปัญหาแอร์มีน้ำแข็งเกาะด้วยตัวเอง

ปัญหาแอร์น้ำแข็งเกาะมักเกิดขึ้นที่บริเวณคอยล์เย็นของแอร์ โดยสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุนั้นมีวิธีการรับมือที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้

– แอร์มีน้ำแข็งเกาะจากน้ำยาของแอร์เกิดการรั่วซึมออกมา สามารถรับมือได้จากการสังเกตปลายท่อที่อาจตันจากน้ำยาของแอร์ที่จับตัวกัน ถ้าหากลองใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดหรือระบายสิ่งที่อุดตันปลาท่อให้น้ำยาแอร์ที่ขังเกิดการระบายตัวออกมาได้สำเร็จก็จะช่วยทำให้แอร์กลับมาเย็นได้อีกครั้ง

– แอร์มีน้ำแข็งเกาะเกิดจากฝุ่นเกาะหนาที่บริเวณฝาพัดกรงกระรอก ถ้าหากฝุ่นมีปริมาณมากจนลมที่ระบายผ่านมีน้อยก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาแอร์มีน้ำแข็งเกาะขึ้นได้เช่นกัน ส่วนวิธีจัดการกับปัญหานี้ก็แสนง่าย เพียงทำความสะอาดฝุ่นให้มีปริมาณน้อยลงก็จะช่วยลดปัญหาแอร์มีน้ำแข็งเกาะได้เป็นอย่างดี

– แอร์มีน้ำแข็งเกาะเพราะน้ำยาแอร์มีน้อย ถ้าหากแอร์มีลมพัดออกมาแรงดีเป็นปกติแต่เกิดปัญหาน้ำแข็งเกาะขึ้น อาจเกิดขึ้นจากน้ำยาแอร์ที่มีน้อยจนเดินไป ทำให้คอยล์เย็นมีน้ำแข็งเกาะขึ้นได้เช่นกัน โดยสามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ช่างมาทำการเติมน้ำยาแอร์ให้ใหม่นั่นเอง

กรณีที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหาแอร์มีน้ำแข็งเกาะคือ “แอร์ตัน” ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้ช่างมาทำการตัดล้างแอร์ขนานใหญ่เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าหากฝืนใช้งานต่อไปอาจทำให้ส่วนของตัวคอมเพรสเซอร์แอร์เกิดความเสียหายมากขึ้นในอนาคต

วิธีการรับมือกับแอร์เสียงดังด้วยตัวเอง

คงไม่มีใครอยากให้แอร์ในบ้าน โดยเฉพาะในห้องนอนของตัวเองส่งเสียงดังชวนน่ารำคาญอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อใช้แอร์ไปนานๆก็ยากนักที่จะหลีกหนีจากปัญหาแอร์เสียงดังไปได้ แต่ถ้าหากทราบสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหาก็รับรองว่าคุณจะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสมอย่างแน่นอน

– แอร์ส่งเสียงดังจากปัญหาใบพัดเสื่อมสภาพ บริเวณที่เป็นตลับลูกปืน หรือที่เรียกกันว่าแบริ่งมอเตอร์ มักเกิดขึ้นจากการที่จาระบีน้ำมันหล่อลื่นภายในแห้ง สามารถแก้ไขได้ด้วยการหยอดจาระบีเข้าไปใหม่ แต่ถ้าหากตลับลูกปืนชำรุดก็ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นต่อให้หยอดจาระบีเข้าไปเท่าไหร่ เสียงดังที่เกิดขึ้นก็จะไม่ลดลงเพราะจาระบีเกิดการแห้งตัวอย่างรวดเร็วนั่นเอง

– แอร์ส่งเสียงดังจากการสะสมของฝุ่น มักเกิดขึ้นจากการไม่ได้ทำการล้างแอร์เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมตัวของฝุ่นละอองเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงสิ่งแปลกปลอมเช่น แมลง มด ที่เข้าไปทำรังอยู่ภายใน การแก้ปัญหาแอร์ส่งเสียงดังด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องหมั่นทำความสะอาดล้างแอร์บ่อยครั้ง

– แอร์ส่งเสียงดังจากการขันคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่แน่นสนิท หากสังเกตว่าเสียงดังไม่ได้มาจากแอร์ที่ถูกติดตั้งอยู่ภายในห้อง อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุดังกล่าวได้เช่นกัน ส่วนการแก้ไขปัญหาก็ไม่ยากเพียงแค่ทำการไขน็อตให้แน่นสนิทเพียงเท่านี้ก็ช่วยหยุดเสียงดังกวนใจได้แล้ว

วิธีรับมือแอร์ลมไม่ออก

– แอร์ลมไม่ออกจากใบพัดหมุนผิดทิศทาง โดยพื้นฐานแล้วการหมุนของใบพัดจะเป็นแบบดักลมเสมอ หากตัวปรับทิศทางทำงานผิดพลาดทำให้การหมุนไม่เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดปัญหาแอร์ลมไม่ออก ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ไม้ยาวทำการเขี่ยใบพัดให้หมุนไปในทิศทางที่ถูกต้อง

– แอร์ลมไม่ออกจากฝุ่นที่จับตัวที่ตัวกรองอากาศ เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับแอร์ที่ไม่ได้ทำการล้างทำความสะอาดเป็นเวลานาน จนทำให้มีฝุ่นเกาะหนักบังทิศทางการเป่าลมออกไม่เต็มที่ ทำให้เกิดปัญหาแอร์ลมไม่ออกขึ้น วิธีการแก้ปัญหานี้ง่ายมากเพียงแค่ทำการถอดตัวฟิลเตอร์แอร์ออกมาล้างทำความสะอาด และเช็ดให้แห้งเท่านั้น

– แอร์ลมไม่ออกจากคอล์ยร้อนนอกตัวบ้าน ที่ถูกทิ้งเอาไว้ไม่ได้ทำการล้างทำความสะอาดอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดสิ่งสกปรกจับตัวแน่นบริเวณใบพัดแอร์ ทำให้แอร์ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องลม และความร้อนภายในห้องที่มากผิดปกติขึ้น ปัญหานี้สามารถป้องกันได้ด้วยการหมั่นล้างคอล์ยร้อนภายในนอกเป็นประจำทุกครั้งเมื่อมีช่างมาทำการล้างแอร์ภายในบ้านนั่นเอง

กรณีที่เลวร้ายที่สุดสาเหตุที่ทำให้แอร์ลมไม่ออกอาจมาจำกัดลมคอล์ยเย็น หรือมอร์เตอร์ชำรุดเสียหาย ในกรณีจำเป็นต้องให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาทำการตรวจซ่อมอย่างเหมาะสม และห้ามเปิดใช้แอร์เครื่องนั้นอย่างเด็ดขาดจนกว่าช่างจะทำการตรวจสอบเสร็จสิ้น

เพียงแค่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาแอร์ลมไม่ออก แอร์ส่งเสียงดัง และแอร์มีน้ำแข็งเกาะได้อย่างถูกต้อง พร้อมกับวางวิธีการป้องกันอย่างเหมาะสมเสียตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อไม่ให้ปัญหาน้ำแข็งเกาะ ส่งเสียงดังและลมไม่ออกเกิดขึ้น เพียงเท่านี้รับรองว่านอกจากจะช่วยทำให้ภายในห้องของคุณเย็นสบายแล้ว ยังเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ให้ยาวนานมากยิ่งขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

ที่มา : (https://worthen-life.com/air-broken/)

 

Cr. https://www.deepromair.com/article/12/แอร์เสียงดัง-น้ำแข็งเกาะ-ลมไม่ออก-รับมือได้ด้วยวิธีแสนง่ายดังต่อไปนี้

Categories
บทความ

การล้างแอร์บ้าน เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ แม้จ้างช่างมาก็ตาม

การล้างแอร์บ้าน เรื่องสำคัญที่ต้องรู้

การล้างแอร์เป็นสิ่งที่ทุกบ้านจำเป็นต้องทำ นอกจากจะเพื่อให้แอร์สะอาด ไม่มีสิ่งอุดตันแล้ว ยังทำให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยาวนานขึ้นอีกด้วย แต่คำถามก็คือ ต้องล้างแอร์แบบไหนถึงจะดีล่ะ?

หลายคนอาจจะคิดว่าการล้างแอร์นั้นจำเป็นต้องจ้างช่างมาทำให้ทุกครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วการล้างแอร์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี รวมถึงยังมีบางวิธีที่เราสามารถทำเองได้อีกด้วย แต่ระดับความสะอาดและระยะเวลาก็จะต่างกันออกไป

istock-1709499829

การล้างแอร์แบ่งออกเป็นหลายวิธี ซึ่งวิธีทั่วไปที่ช่างนิยมทำกันก็คือ การล้างด้วยน้ำแรงดันสูง เป็นการใช้ปั้มน้ำแรงดันสูงฉีดล้างทำความสะอาดตัวคอยล์เย็นด้านใน เพื่อเป็นการกำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่เกาะอยู่ตามช่องระบายลมและแผงรังผึ้งแอร์ รวมถึงการล้างฟิลเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของแอร์ที่สามารถถอดออกมาล้างได้ และทำการเป่าหรือทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นก็ทำการล้างทำความสะอาดคอนเดนเซอร์ตัวนอกที่อาจจะมีฝุ่นจับอยู่ตามใบพัด เพียงเท่านี้ก็จะทำให้แอร์สะอาดหมดจด และไม่มีเสียงดังรบกวนอีกด้วย ซึ่งวิธีนี้แนะนำให้ทำอย่างน้อย 1 ครั้งต่อ 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง

แต่ทั้งนี้เราสามารถดูได้จากการทำงานของแอร์ว่าติดขัดหรือมีฝุ่นเกาะมากน้อยแค่ไหนก็ได้เช่นกัน เนื่องจากการใช้งานและสถานที่ติดตั้งแอร์ของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน หากแอร์เรามีฝุ่นเกาะจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัด และปล่อยความเย็นได้น้อยลง เราก็อาจจะต้องจ้างช่างมาล้างแอร์ให้เร็วขึ้นก็เป็นได้

หากรู้สึกไม่อยากจ้างช่างมาล้างแอร์บ่อย ๆ ทุกครั้งที่แอร์ไม่เย็น แล้วเราสามารถล้างแอร์เองได้หรือไม่นั้น คำตอบคือได้ครับ 

 
Advertisement

การถอดฟิลเตอร์ / แผ่นกรองฝุ่นออกมาทำความสะอาด

เราสามารถที่จะถอดฟิลเตอร์แอร์ หรือแผ่นกรองฝุ่นออกมาทำการล้างทำความสะอาด ตากไว้ให้แห้ง แล้วนำกลับมาติดใหม่ได้ การทำแบบนั้นจะทำให้ฝุ่นที่เกาะขวางทางเดินของลมหลุดออกไป แอร์ก็จะสามารถปล่อยความเย็นออกมาได้อย่างเต็มที่

การใช้สเปรย์ล้างคอยล์เย็น

หรืออีกวิธีหนึ่งคือการซื้อสเปรย์ล้างคอยล์เย็นที่เป็นโฟมมาฉีดพ่นให้ทั่ว และพรมน้ำสะอาดตามจนกว่าฟองซึมเข้าไปข้างในได้หมด แอร์ของเราก็จะสะอาดเข้าไปถือข้างในและปล่อยลมออกมาได้เย็นขึ้น 

การถอดอุปกรณ์และชิ้นส่วนที่ถอดได้มาล้าง

แต่ทั้งสองวิธีข้างต้นเป็นเพียงการทำความสะอาดแอร์ที่ได้ผลแค่ชั่วคราว เพื่อยืดระยะเวลาในการล้างแอร์ออกไปเท่านั้น เพราะถึงแม้จะมีวิธีที่สามารถถอดอุปกรณ์ต่างๆของแอร์ออกมาล้างทำความสะอาดด้วยตัวเองได้ แต่วิธีนี้ก็จำเป็นต้องมีความชำนาญและความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของแอร์พอสมควร มิเช่นนั้นอาจจะทำให้ชิ้นส่วนบางอย่างเสียหายได้เช่นกัน

istock-1707455614

สรุปก็คือ เราสามารถทำความสะอาดแอร์ด้วยตัวเองได้ แต่ระยะเวลาและระดับของความสะอาดจากการทำแต่ละวิธีจะไม่เท่ากับการล้างแอร์ด้วยปั้มน้ำแรงดันสูงที่จะเป็นการล้างแอร์แบบทั่วถึงทุกซอกทุกมุม จึงทำให้แอร์มีประสิทธิภาพที่ดียาวนานขึ้น และเราจะไม่ต้องหายใจเอาฝุ่นและสิ่งสกปรกที่อาจลอยมากับลมแอร์เข้าสู่ร่างกายอีกด้วย

Cr. https://www.sanook.com/hitech/1589935/

Categories
บทความ

7 วิธีเปิดแอร์ในหน้าร้อน ให้ค่าไฟไม่พุ่งสูง

7 วิธีเปิดแอร์ในหน้าร้อน ให้ค่าไฟไม่พุ่งสูง

บ้านเราบทจะร้อน ก็ร้อนมากเลยนะคะ หน้าร้อนนี้หลาย ๆ บ้านก็คงเปิดเครื่องปรับอากาศกันแทบตลอดทั้งวัน ให้อากาศในบ้านเย็นได้บ้าง เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้รู้สึกไม่สบายตัว

ยิ่งบ้านไหนมีลูกเล็กก็ถึงกับงอแงได้เลย และเพื่อประหยัดไฟ ให้ค่าไฟในช่วงหน้าร้อนไม่พุ่งกระฉูดกันมาก เราเลยมีคำแนะนำดี ๆ ที่จะช่วยประหยัดพลังงานในหน้าร้อน และประหยัดเงินในกระเป๋ากันมาบอกต่อค่ะ ลองทำตามกันได้เลย

1. เพิ่มอุณหภูมิแอร์ตอนกลางคืน

ตอนกลางคืนไม่มีแดด อุณหภูมิจะเย็นสบายกว่าในช่วงกลางวันหน่อย เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ให้ปรับอุณหภูมิของแอร์ขึ้นไปสัก 1 องศา (จาก 25 องศา เป็น 26 องศา) ในช่วงที่นอนหลับ ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าไฟในเดือนนั้นสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์

4790 2

2. ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท

ก่อนเปิดแอร์ทุกครั้ง ควรปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เพราะหากปล่อยให้อากาศภายนอกไหลเข้ามา ก็อาจทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น แถมยังเป็นการเพิ่มการใช้พลังงานอีกด้วย

3. ใช้วิธีเปิดพัดลมร่วมกับการเปิดแอร์

เพื่อให้ความเย็นกระจายไปทั่วห้อง คือการเปิดพัดลมช่วยในระหว่างเปิดแอร์ ซึ่งจะทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก และยังสามารถปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้นไปที่ 26 องศาเซลเซียสได้ ช่วยลดค่าไฟลงไปได้เท่าตัวเลย

4. หลีกเลี่ยงการนำความชื้นเข้าห้อง

ปกติแล้วแอร์จะใช้พลังงานในการทำความเย็นอยู่ที่ 30% ส่วนอีก 70% เป็นพลังงานที่ใช้กำจัดความชื้น ทำให้สภาพอากาศภายในห้องแห้ง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนำสิ่งของที่ก่อให้เกิดความชื้นเข้ามาในห้อง เช่น ต้นไม้หรือการตากผ้า เป็นต้น เพราะแอร์จะทำงานหนักมาก

4790 3

5. ควบคุมการใช้ชั่วโมงแอร์ให้เหมาะสม

หันมาควบคุมชั่วโมงแอร์ในช่วงเวลากลางคืน โดยเฉพาะการปิดแอร์ที่เราสามารถตั้งเวลาเอาไว้ได้ให้ปิดในตอนตี 5 ในระหว่างนอนก็เปิดพัดลมเอาไว้ด้วย จะช่วยให้อากาศในห้องเย็นสบายจนตื่นเช้าได้พอดี

6. ปิดไฟในห้องแล้วรับแสงจากหน้าต่างแทน

ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ จะความร้อนออกมา ส่งผลให้ห้องในหน้าร้อน มีอากาศร้อนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นในระหว่างวันที่เปิดแอร์ให้ปิดหลอดไฟฟ้า และใช้แสงสว่างจากนอกหน้าต่างเข้ามาแทน จะช่วยลดอุณหภูมิในบ้านให้เย็นลง

7. ล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ

เพื่อเป็นการใช้งานแอร์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนเข้าสู่หน้าร้อนควรทำความสะอาดแอร์ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเสื่อมสภาพการใช้งาน ทำให้แอร์เย็นฉ่ำได้มากขึ้น ที่สำคัญแอร์เย็นแต่ไม่ทำงานหนัก ประหยัดค่าไฟไปได้อีก



ขอบคุณข้อมูลจาก : Seekster

Cr. https://www.rakluke.com/family-lifestyle-all/news-update/item/7-3.html

Categories
บทความ

ทำไมต้องเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์5 ถ้างบน้อยซื้อแค่เบอร์4 ได้ไหม?

ทำไมต้องเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์5 ถ้างบน้อยซื้อแค่เบอร์4 ได้ไหม?

ตอบว่าควรซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 แม้จะมีเงินน้อยก็ตาม เพราะเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า ถึงแม้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 จะมีราคาสูงกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 4 เล็กน้อย แต่ก็สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว

โดยเฉลี่ยแล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณร้อยละ 5-10 เมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 4

istock-1329491486

ตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 4 มีราคาประมาณ 20,000 บาท ในขณะที่เครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 มีราคาประมาณ 22,000 บาท แต่สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 100 บาทต่อปี หากใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน หมายความว่าเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟเบอร์ 5 จะคืนทุนได้ภายในระยะเวลาประมาณ 22 ปี

นอกจากนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 4 และเบอร์ 5 ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนอีกด้วย

untitled-6

 

อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 นั้น จะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบไปด้วย เช่น คุณสมบัติของเครื่องใช้ไฟฟ้า ยี่ห้อของเครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการหลังการขาย เป็นต้น เพื่อให้ได้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

สำหรับคำแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 มีดังนี้

  • เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ติดอยู่
  • เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน
  • เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น ระบบอินเวอร์เตอร์
  • เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้
  • เปรียบเทียบราคาจากร้านต่างๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

โดยสรุปแล้ว การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 แม้จะมีเงินน้อยก็ตาม ก็เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า โดยจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาวและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

Cr. https://www.sanook.com/hitech/1588043/

Categories
บทความ

การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ทำให้เปลืองค่าไฟจริงหรือไม่ ?

การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ทำให้เปลืองค่าไฟจริงหรือไม่ ?

อากาศบ้านเราร้อนอบอ้าวเป็นส่วนใหญ่แบบนี้ แอร์เป็นตัวช่วยที่ดีเลยใช่มั้ยหล่ะคร้าบ เพื่อน ๆ หลายบ้านอาจจะเปิด ๆ ปิด ๆ แอร์สลับกันไป เพราะกลัวจะเสียค่าไฟมาก แต่ก็อยากให้อุณหภูมิภายในห้องเย็นขึ้นบ้างแล้วเพื่อน ๆ

รู้มั้ยครับว่าการเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ทำให้เปลืองค่าไฟจริงหรือไม่ ?  เรามีคำตอบ! คำตอบสั้น ๆ คือ ไม่จริง การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ไม่ได้ทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้น แต่อาจส่งผลเสียกับมอเตอร์แอร์ได้

istock-1332389696

 
Advertisement

แอร์จะกินไฟมากที่สุดในช่วงที่เพิ่งเปิดเครื่อง เพราะต้องทำงานหนักเพื่อทำความเย็นให้ห้องถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้ การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ จะทำให้แอร์ต้องทำงานหนักบ่อยขึ้น ส่งผลให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักจนอาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงได้

อย่างไรก็ตาม การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ไม่ได้ทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากแอร์จะทำงานในโหมดประหยัดไฟเมื่ออุณหภูมิห้องถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้แล้ว ดังนั้น หากเปิดแอร์ทิ้งไว้ทั้งวันโดยไม่ปิด แอร์จะทำงานตลอดเวลาและกินไฟมากกว่าการเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ หลายเท่า

ดังนั้น การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ไม่ได้ทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้น แต่อาจส่งผลเสียกับมอเตอร์แอร์ได้ หากต้องเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ควรตั้งอุณหภูมิที่พอเหมาะและเปิดแอร์ทิ้งไว้ไม่นานเกินไป

เคล็ดลับในการประหยัดค่าไฟจากการใช้แอร์ มีดังนี้

  • เลือกขนาดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง
  • ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทก่อนเปิดแอร์
  • ตั้งอุณหภูมิที่พอเหมาะ
  • ล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
  • ตั้งเวลาปิดแอร์เมื่อไม่อยู่บ้าน
  • ใช้พัดลมช่วยระบายอากาศก่อนเปิดแอร์

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณนะคะ

Cr. https://www.sanook.com/hitech/1590583/

Categories
บทความ

เปิดแอร์ยาวๆ ไปเลย กับ เปิดๆ ปิดๆ แบบไหนประหยัดไฟกว่ากัน

เปิดแอร์ยาวๆ ไปเลย กับ เปิดๆ ปิดๆ แบบไหนประหยัดไฟกว่ากัน

เชื่อว่าอากาศร้อนๆ แบบนี้การเปิดแอร์นั้นเรียกว่าเป็นทางเลือกที่หลายๆ คนเลือก เพราะอากาศในประเทศไทยเรามันช่างร้อนขึ้นทุกปี ซึ่งสิ่งที่ตามมาหลังจากการเปิดแอร์นั้นก็คือค่าไฟนั่นเอง โดยหลายคนก็หาทางประหยัดไฟด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งวิธีเปิดๆ ปิดๆ แอร์ นั้นก็เป็นวิธีที่หลายคนอาจจะเอามาใช้

เราจะพาเพื่อนๆ มาไขคำตอบกันซักหน่อยว่าจริงๆ แล้ว การเปิดแอร์ใช้งานไปเลย กับเปิดๆ ปิดๆ แอร์ ไม่ใช้แอร์ทำงานนานเกินไป แบบไหนกินค่าไฟมากกว่ากัน

เปิดแอร์ยาว กับ เปิดแอร์แบบเปิดๆ ปิดๆ อันไหนประหยัดไฟกว่ากัน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปิดแอร์ยาวไปเลย 1 ชั่วโมง กับ 1 ชั่วโมงเปิด 20 นาที พัก 20 นาที แล้ว เปิดต่ออีก 20 นาที คำตอบนั่นก็คือ การเปิดแอร์แบบ เปิดๆ ปิดๆ นั้นจะกินค่าไฟเยอะกว่าเดิม เพราะจริงๆ แล้ว แอร์จะทำงานหนักในช่วงที่เพิ่งเปิด เพื่อระบายความร้อนและความชื้นสะสมในห้องออกไป หลังจากนั้นแอร์ก็จะทำงานเบาลง

การเปิดแอร์ยาวไปเลย ก็จะใช้ไฟแบบปกติ แต่ถ้าเปิดแล้วปิดแล้วเปิดใหม่ก็จะยิ่งทำให้แอร์ถูกใช้งานหนักมากกว่าเดิมและกินไฟมากกว่าปกติ การใช้งานที่เรียกว่าดีที่สุดนั่นก็คือเปิดยาวๆ ให้ห้องมีความเย็นแล้วค่อยปิดเมื่อรู้สึกสบายตัวหรือเลิกใช้แล้วจะดีกว่า

นอกจากนั้นการที่ทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาจากการเปิดแอร์ยาวๆ เราควรที่จะสร้างบรรยากาศห้องให้ไม่ร้อนเกินไประหว่างก่อนใช้งานและหลังใช้งานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเทอากาศให้ถ่ายเทเอาความร้อนออกจากห้องก่อน รวมไปถึงระหว่างใช้งานก็หลีกเลี่ยงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อนที่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักด้วยนั่นเอง

Cr. https://www.sanook.com/campus/1415343/

Categories
บทความ

ทำม่านกั้นแอร์ด้วยตัวเอง ทำง่าย ๆ ใช้งบนิดเดียว !

ทำม่านกั้นแอร์ด้วยตัวเอง ทำง่าย ๆ ใช้งบนิดเดียว !

วิธีทำม่านกั้นแอร์ด้วยตัวเอง หากอยากได้ม่านกั้นแอร์เจ๋ง ๆ ราคาไม่แพง สามารถทำได้ด้วยตัวเอง มาดูวิธีทำม่านกั้นแอร์แบบงบน้อยของสาวคนนี้กันเลย

ม่านกั้นแอร์
 
          อุณหภูมิที่ร้อนจัดไม่อาจทำให้ คุณ ปลุกความเป็นแมวในตัวคุณ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และแมวเหมียวสุดที่รักต้องทนร้อนได้อีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจติดตั้งแอร์ไว้ที่ชั้นล่างของบ้าน แต่กลัวว่าถ้าไม่กั้นผนังจะทำให้เปลืองไฟ และความเย็นจะกระจายไม่ทั่วถึง เลยตัดสินใจซื้อของมาทำม่านกั้นแอร์ด้วยตัวเอง ออกไอเดียทำม่านกั้นแอร์แบบง่าย ๆ ด้วยงบประมาณเพียงแค่ 2 พันกว่าบาทเท่านั้นเอง และยินดีที่จะแชร์ไอเดียนี้มาให้เราได้ดูกันค่ะ
ทนมาตั้งหลายปี แต่ปีนี้ร้อนจัดมาก เลยตัดสินใจติดแอร์ชั้นล่าง จะได้ไม่ต้องเอาแต่อยู่ในห้องแอร์ชั้นบนทั้งคนทั้งแมว เลือกขนาด 18,000 BTU ช่างบอกเพียงพอกับความกว้างของชั้นล่างไม่ต้องกั้นก็ได้ แต่เราตัดสินใจกั้นดีกว่าค่ะ เพราะแอร์จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก แถมยังเย็นเร็วอีกด้วย  (Inverter R32 เย็นเร็วดีจริง ๆ) ทีนี้มาดูเรื่องของฉากกั้น จะเอาฉากกั้นห้องญี่ปุ่นหรือทำกระจกกั้นก็เกรงใจแมว กลัวแมวออกไม่ได้ ลำบากทั้งแมวทั้งคน เดี๋ยวจะมาร้องเงี้ยวง้าวให้เราเปิดประตูให้อีก เลยตัดสินใจใช้ม่านนี่แหละ เราใช้รางม่านแบบรางเลื่อนค่ะ ใช้ขายึดแบบติดกับเพดานเอา ส่วนม่านใช้ม่านแบบแบล็ก เอาท์ (Black out) เป็นม่านปรับอุณหภูมิที่สามารถกันลมกันแดดได้จากอิเกีย

ม่านกั้นแอร์

          – มาดูวัสดุอุปกรณ์กันเลยนะคะ

          1. รางม่าน ความยาว 145 เซนติเมตร : จำนวน 2 อัน ราคา 598 บาท
          2. ขายึดเพดาน : จำนวน 4 อัน ราคา 516 บาท
          3. ม่านแบล็ก เอาท์ : จำนวน 1 คู่ ราคา 990 บาท
          4. ตะขอเกี่ยวม่าน : จำนวน 2 กล่อง ราคา 198 บาท

ม่านกั้นแอร์

          – ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้มีอยู่แล้ว

          1. ตลับเมตร
          2. ไขควง
          3. แม่เหล็ก
          4. เลื่อย
          5. ส่วนสว่านกับค้อน เอามาเตรียมไว้ในกรณีที่หาโครงฝ้าไม่เจอ จะใช้พุกปีกผีเสื้อยึดเพดานค่ะ (แต่ของเราไม่ได้ใช้)

ม่านกั้นแอร์

          – เริ่มแรกเลยก็วัดขนาดความกว้างของส่วนที่จะกั้น ขนาดของส่วนที่เราจะกั้น กว้าง 280 เซนติเมตร สูง 240 เซนติเมตรค่ะ จากนั้นก็เอาแม่เหล็กมาดูดหาโครงฝ้า เพื่อที่เราจะได้ยึดรางม่านกับโครงฝ้าค่ะ จริง ๆ ม่านก็ไม่ได้หนักมากนะคะ แต่เราเจอโครงฝ้าตรงแนวที่จะกั้นพอดี พอเจอแล้วก็มาร์กจุดไว้

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

          – จากนั้นก็เจาะขายึดเพดานเข้ากับฝ้า ใช้ไขควงกับตะปูเกลียวปล่อยหมุนเข้าไปเลยค่ะ ตามคู่มือเขาให้ยึด 3 จุด แต่เรายึด 4 จุดค่ะ

ม่านกั้นแอร์

          – มาเพิ่มเติมวิธีการเจาะขายึดรางผ้าม่านกับเพดานค่ะ

ม่านกั้นแอร์

          – รางม่านเราเกินมานิดหน่อย ก็ใช้เลื่อยเลื่อยออกไปเลยค่ะ

ม่านกั้นแอร์

          – จากนั้นเอารางม่าน 2 อันมาต่อกัน ที่อิเกียเขามีตัวเชื่อมให้ค่ะ ต่อเนียนเชียว

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

          – ร้อยตะขอเข้าไปในราง ตะขอที่ให้มาจะมีอยู่ 2 แบบค่ะ แบบที่ร้อยเข้าไปในรางจะเป็นล้อเล็ก ๆ กับแบบที่ยึดกับตัวม่าน

ม่านกั้นแอร์

          – ใส่ตัวยึดที่รางทั้ง 4 อัน เพื่อเอาไว้ล็อกติดกับขายึดเพดาน

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

          – ปิดหัว ปิดท้าย กันม่านเลื่อนหลุดออกจากราง

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

          – นำรางขึ้นไปยึดติดกับขาแขวนด้านบน ของเราระยะห่างของขายึดเพดานไม่เท่ากันนะคะ เรายึดตามแนวโครงฝ้า

ม่านกั้นแอร์

          – ม่านที่อิเกียจะสามารถเกี่ยวได้ 3 ระดับค่ะ (รูปแรกเกี่ยวให้ดูเฉย ๆ)
ม่านกั้นแอร์

          – ของเราใช้ระดับ 3 ค่ะ

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

          – เสร็จแล้วก็นำม่านไปเกี่ยวกับราง

ม่านกั้นแอร์

ม่านกั้นแอร์

          – เป็นอันเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนแมว และแล้วเราก็ได้ม่านกั้นแอร์มาแบบนี้ค่ะ

ม่านกั้นแอร์

          – ด้านหลัง
        
ม่านกั้นแอร์

          – ตอนเปิดม่านค่ะ เอาไปซ้อนไว้หลังตู้หนังสือ บ้านจะได้ดูโล่ง ๆ เหมือนเดิม

ม่านกั้นแอร์

          – เย็นฉ่ำ นอนสบาย ทดลองแล้ว ใช้ได้อยู่นะคะ อุณหภูมิหน้าม่านกับหลังม่านต่างกันจริง ๆ ค่ะ ความเย็นออกบ้างนิดหน่อยตอนม่านเลื่อน เพราะแมวพุ่งเข้าพุ่งออกนี่แหละค่ะ ทีนี้ใช้ม่านเป็นที่เล่นซ่อนแอบกันไปอีก

          ขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ
 
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ ปลุกความเป็นแมวในตัวคุณ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม